ไม่ว่าคุณจะเป็นกองเชียร์ฝ่ายรีพลับลิกันหรือเดโมแครต ความจริงอย่างหนึ่งที่พวกคุณต้องยอมรับเหมือนกันก็คือคุณกำลังจะได้รับเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่สอง เงินเยียวยา $600 สามารถทำให้ตัวเลขยอดขายปลีกในเดือนมกราคมดีดขึ้นมาได้ 5.3% ส่วนครั้งนี้เงินเยียวยาที่คาดว่าจะได้รับจะมากกว่า $600 เป็นสองเท่าตัว ทำให้บริษัทที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกหลายแห่งเตรียมพร้อมรับแรงซื้อมหาศาลจากผู้บริโภคแล้ว
นอกจากกระตุ้นกลุ่มขายปลีกแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ยังขยายระยะเวลาเยียวยาผู้ว่างงานชาวอเมริกันนับล้านคน เงินก้อนนี้ยังจะเข้าถึงธุรกิจการท่องเที่ยว และการบริการทันทีที่เศรษฐกิจของอเมริกากลับมาเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจเต็มตัว นักวิเคราะห์จากดอยซ์แบงก์เปิดเผยข้อมูลจากผลสำรวจนักลงทุนรายย่อยพบว่า 37% เตรียมแบ่งเงินเยียวยาที่จะได้รับมาลงกับตลาดหุ้น
“นักลงทุนรายย่อยมีความเชื่อมั่นในสภาพเศรษฐกิจของประเทศอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาได้กันเงินเอาไว้บางส่วนเพื่อเข้าซื้อหุ้นตัวใหม่หรือนำไปซื้อหุ้นตัวเดิมที่เคยถือเอาไว้อยู่แล้วและจะทำทันทีเมื่ออเมริกากลับมาเปิดประเทศเต็มตัว”
สำหรับนักลงทุนระยะยาว สิ่งที่ต้องระวังเมื่อนักลงทุนรายย่อยเหล่านี้เข้ามาคือการปั่นหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้น ข้อมูลที่เราได้รับแน่นอนว่าพวกเขาก็มีอยู่ในใจเช่นกัน ดังนั้นในบทความนี้เราจึงได้เลือกหุ้นสามตัวที่เชื่อว่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้และยังเป็นหุ้นที่ปลอดภัยสำหรับการเติบโตระยะยาว
1. JPMorgan & Chase
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่รัฐบาลพร้อมที่จะอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มีเหตุผลมากมายที่กำลังจะกลายเป็นปัจจัยหนุนให้กับหุ้นกลุ่มธนาคาร ข้อดีประการแรกที่เราเห็นคือการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหมายความว่าธนาคารจะได้ดอกเบี้ยมากขึ้นจากการกู้ยืมของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ
สองคือเราเชื่อว่าสถานการณ์ที่ผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าผลตอบแทนระยะสั้นจะยังเป็นเช่นนี้ต่อไปตราบใดที่ผู้บริโภคยังกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินที่รัฐบาลแจกให้มากขึ้นและสามอัตราเงินเฟ้อที่เติบโตอย่างรวดเร็วจะเป็นตัวเร่งความต้องการของผู้บริโภคให้มีสูงกว่าปกติ
ในสถานการณ์เช่นนี้ เราอยากจะนำเสนอหุ้นของธนาคารเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) ธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา เหตุผลก็คือเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นธนาคารชั้นนำเพื่อการลงทุนแล้วพวกเขาย่อมจะมีการบริหารงบดุลที่ยอดเยี่ยม มีคุณภาพ ตรวจสอบได้ แม้ว่าหุ้นเจพีตอนนี้จะเห็นว่าปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนมากกว่า 50% แล้ว แต่การที่เรายังแนะนำให้ซื้อย่อมหมายความว่าขาขึ้นยังมีพื้นที่มากพอให้ไปต่อ
แม้ว่าเจพีจะยังไม่สามารถเพิ่มเงินปันผลได้ แต่พวกเขาสามารถซื้อหุ้นคืนได้จากการอนุญาตของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้เจพีก็ได้เริ่มแผนการซื้อหุ้นคืนในวงเงิน $30,000 ล้านเหรียญมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ปัจจุบันเจพีมอร์แกนยังคงรักษาเรตเงินปันผลต่อหุ้นเอาไว้ที่ $0.90 สำหรับผลตอบแทนที่ 2.6%
2. Walmart
อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นของบทความว่าตัวเลขยอดขายปลีกในเดือนมกราคมได้ดีดตัวขึ้นเป็น 5.3% อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบัน ดังนั้นหากมีมาตรการรอบใหม่มาอีก เชื่อได้เลยว่าหุ้นในกลุ่มขายปลีกย่อมจะได้รับอานิสงส์อีกเช่นเคย สำหรับหมวดหมู่นี้เราเลือกหุ้นของวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) เป็นตัวเลือกในอันดับต้นๆ
จริงอยู่ว่าผู้ขายปลีกต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่อนุญาตให้ผู้คนออกมาเดินจับจ่ายใช้สอยที่ห้างได้เหมือนเคย แต่ข้อเสียนั้นสำหรับเรากลับมองว่าคือโอกาสเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาว
จากการรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์แสดงให้เห็นว่าวอลล์มาร์ทคือสถานที่ที่ผู้บริโภคเลือกที่จะมาใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจในการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุดแห่งหนึ่ง นักวิเคราะห์คาดว่าวอลล์มาร์ทจะสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติภายในปีนี้ ที่สำคัญในช่วงเวลาที่ไวรัสกำลังระบาด บริษัทก็ได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ เช่นการเปลี่ยนรูปแบบการซื้อสินค้าเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์
ล่าสุดวอลล์มาร์ทได้ตัดสินใจเปิดบริการตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “วอลล์มาร์ท คอนเนค (Walmart Connect)” ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันของวอลล์มาร์ทและผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้งานแพลตฟอร์ม e-commerce ให้สามารถซื้อสินค้าจากวอลล์มาร์ทได้แบบเรียลไทม์
ปัจจุบันหุ้นวอลล์มาร์ทมีเปอเซ็นต์ปันผลอยู่ที่ 1.72% แต่จากความกล้าที่จะลองผิดลองถูก กล้าที่จะโต้คลื่นไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เราเชื่อว่าหุ้นวอลล์มาร์ทยังมีศักยภาพมากพอที่จะเติบโตขึ้นได้อีกในระยะยาว
3. Nike
บริษัทผู้ขายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกีฬาชื่อดังไนกี้ (NYSE:NKE) คือบริษัทยักษ์ใหญ่สุดท้ายที่เราอยากแนะนำ ในช่วงเวลาที่ผู้คนไม่สามารถออกไปออกกำลังกายนอกบ้านได้ ยิ่งทำให้พวกเขาได้ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพและทำให้ไนกี้ยังสามารถทำกำไรได้แม้ว่าร้านค้าปลีกของบริษัทจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด
หากพิจารณาภาพรวมใหญ่ๆ เราจะเห็นว่าตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด ไนกี้ได้รับผลกระทบมหาศาลจากโควิด การล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก งานกีฬาระดับนานาชาติที่ถูกยกเลิกและเศรษฐกิจชะลอตัวล้วนเป็นปัญหาที่โถมเข้ามายังบริษัทตลอดทั้งปี 2020 แต่จากรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดกลับแสดงให้เห็นว่าไนกี้สามารถพาตัวเองให้ผ่านพ้นอุปสรรคมาได้จากการเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการขายผลิตภัณฑ์สำหรับคนรักสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ รายงานผลประกอบการเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมปี 2020 ระบุว่าไนกี้มีกำไรจากการขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น 84%
ไนกี้เป็นหนึ่งในบริษัทที่ลงทุนกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก พวกเขาเห็นการเติบโตของโลกเทคโนโลยีมาตั้งแต่ก่อนโควิดจะระบาดและให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขายสินค้าออนไลน์มาโดยตลอด เราเชื่อว่าเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะออกมาจะทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะสตรีมีความต้องการที่จะซื้อเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬาสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมากขึ้น เมื่อเดือนพฤศจิกายนไนกี้พึ่งปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรตลอดทั้งปี 2021 และเชื่อว่ากลุ่มลูกค้าที่จะสามารถทำเงินให้กับบริษัทได้คือกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น