ปี 2021 ไม่ใช่การเริ่มต้นที่งดงามเท่าไหร่สำหรับเปโลตอง (NASDAQ:PTON) บริษัทผู้ให้บริการฟิตเนสออนไลน์สตรีมมิ่ง นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบันหุ้นของเปโลตองร่วงลงไปแล้วมากกว่า 21% ทั้งๆ ที่ปี 2020 เคยเป็นปีที่หุ้นเปโลตองวิ่งขึ้นมากถึง 500%
ผลงานของหุ้นเปโลตองในตอนนี้ถือว่าย่ำแย่กว่ากองทุน ETF อาร์ค อินโนเวชัน (NYSE:ARKK) ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือหุ้นเฉพาะเทคโนโลยีที่เชื่อว่าจะมาเปลี่ยนแปลงโลก ขนาดว่าตอนนี้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายอย่างหนักแต่ราคากองทุนอาร์คก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 5%
ขาลงของหุ้นเปโลตองในตอนนี้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนบางส่วนเริ่มเป็นกังวลว่าธุรกิจของเปโลตองได้ผ่านจุดรุ่งเรืองที่สุดมาแล้ว ก่อนหน้านี้ที่หุ้นเปโลตองขึ้นมาได้เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดการล็อกดาวน์ในหลายๆ พื้นที่ของประเทศซึ่งยิมไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการ
จากความเห็นของเรา ตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาขาลงของเปโลตองจริง ในระยะสั้นพวกเขามีปัญหาเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องออกกำลังกายมาให้กับลูกค้า ส่วนในระยะยาวพวกเขามีปัญหาว่าถ้าวิกฤตโควิด-19 จากไปแล้ว ผู้คนจะออกไปใช้ชีวิตตามปกติดังเดิม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนปิดคำสั่งซื้อของหุ้นเปโลตองและขอออกไปยืนดูสถานการณ์ในภาพรวมก่อน
ในรายงานผลประกอบที่วัดถึงช่วงสิ้นเดือนธันวาคมนั้น โปโลตองเผยว่าบริษัทกำลังขาดแคลนอุปรกรณ์ออกกำลังกายทรงจักรยานมากที่สุด ลูกค้าบางคนถึงกับติมาเลยว่าระยะเวลาที่ให้รอนั้นยาวนานเกินกว่าที่จะ “ยอมรับได้” นอกจากนี้ CEO ของบริษัทยังกล่าวในรายงานผลประกอบการครั้งนั้นว่าเครื่องออกกำลังกายแบบสายพานวิ่งก็จะล่าช้าตามไปด้วย สาเหตุเป็นเพราะเครื่องออกกำลังกายส่วนใหญ่มักจะถูกผลิตออกมาในเดือนพฤษภาคมมากกว่าที่จะเป็นช่วงสิ้นเดือนมีนาคมเพื่อให้ทันความต้องการของผู้คนในภูมิภาคอื่นอย่างเช่นสหราชอาณาจักร
การออกกำลังกายคือกิจกรรมที่อยู่เคียงข้างมนุษย์มาเสมอ
เพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลนและความสามารถในการผลิตที่เกิดขึ้น เปโลตองได้ตัดสินใจซื้อบริษัท Precor ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ฟิตเนสในราคา $420 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะใช้เงินอีกมากกว่า $100 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาการขนส่งอุปกรณ์ทั้งทางน้ำและทางอากาศ
ถึงจะเผชิญปัญหาเช่นนี้ แต่ตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดก็ยังชี้ว่าเปโลตองยังมีกำไรเติบโตขึ้น 128% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และกำไรในแต่ละไตรมาสสามารถขึ้นยืนเหนือหลัก $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้เป็นครั้งแรก ยอดผู้สมัครเป็นสมาชิกของบริการจากเปโลตองเพิ่มขึ้น 134% ในขณะที่ยอดผู้ใช้งานที่เป็นสมาชิกผ่านโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อื่นๆ ทะยานขึ้น 472% จนตอนนี้บริษัทมียอดผู้ใช้งานรวมแล้ว 4.4 ล้านคน
คำถามสำคัญก็คือว่า “เมื่อโควิดจากไปแล้ว เปโลตองจะสามารถรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ได้อย่างไรหากผู้คนพร้อมที่กลับเข้ายิมและใช้ชีวิตตามปกติ?”
หนึ่งในตัวบ่งชี้โอกาสเติบโตของเปโลตองได้ดีที่สุดคือยังมีลูกค้าบางคนยินดีที่จะจ่ายเงินมากถึง $2,000 ต่อเดือนเพื่อที่จะใช้บริการปั่นจักรยานอยู่ที่บ้านและปฏิเสธที่จะกลับไปยิมซึ่งมีแต่ผู้คนแออัด หมายความว่าบริการของเปโลตองนั้นยังสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง
จิลล์ วู้ดเวิร์ด CFO ของเปโลตองให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wall Street Journal ว่า
“ในความเห็นของเรา การระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคได้เข้าใจตัวเองในมิติของการออกกำลังกายมากขึ้น บางคนยังคงชอบบรรยากาศการได้ออกไปเจอผู้คนที่ยิม บางคนชอบความเป็นส่วนตัวและต้องการออกกำลังกายภายในบ้านของตัวเอง สิ่งที่เราต้องทำต่อจากนี้คือพัฒนาเงื่อนไขบริการสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกเพื่อให้พวกเขาเห็นว่าการออกกำลังกายที่บ้านได้สิทธิประโยชน์มากกว่าการออกไปยิมอย่างไร”
นักวิเคราะห์ลงความเห็นว่าหุ้นเปโลตองอาจสามารถขึ้นได้อีก 30% จากระดับราคาปัจจุบันที่ $166.35 ภายในระยะเวลาสิบสองเดือนหากว่าบริษัทสามารถหาวิธีจัดการปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ออกกำลังและสามารถพัฒนาระบบสมาชิกให้มีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น
โดยสรุปแล้ว
ในระยะสั้นหุ้นเปโลตองจะยังได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนอุปกรณ์ออกกำลังซึ่งส่วนตัวแล้วขาลงตอนนี้เรามองว่าคือการย่อเพื่อเข้าซื้อในระยะยาว ตราบใดที่การออกกำลังกายยังเป็นกิจกรรมที่อยู่คู่กับมนุษย์ เทคโนโลยีที่เข้ามาตอบโจทย์จะยิ่งช่วยกระตุ้นความอยากออกกำลังกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น