ตามความเห็นของเรา ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์ควรจะทำได้ดีกว่านี้ในแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวันพุธที่แล้ว ความมั่นใจของเขาไม่ได้ทำให้นักลงทุนในตลาดรู้สึกปลอดภัยจากความกังวลอัตราเงินเฟ้อเลย และจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ยิ่งทำให้นักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อเบรกความร้อนแรงของเงินเฟ้อในเร็วๆ นี้
ในแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรส ประธานเฟดได้ให้เหตุผลว่าที่ยังไม่ควรแตะเบรก QE หรือหยุดช่วยเหลือเศรษฐกิจในตอนนี้เป็นเพราะตัวเลขการจ้างงานซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของเฟดยังไม่ได้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจแม้ว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะวิ่งเข้าใกล้ 2% นอกจากนี้นายเจอโรม พาวเวลล์ยังย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% ยังคงจะอยู่กับพวกเราไปอีกนาน ตลาดหุ้นมีปฏิกริยาต่อคำพูดของประธานเฟดทันที ในตอนแรกตลาดปรับตัวขึ้นจากความดีใจ แต่ท้ายที่สุดตลาดหุ้นก็ปรับตัวลดลงในวันถัดมา
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีตอนนี้กลายเป็นว่าเริ่มสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ตลาดไม่ได้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถเพิ่มขึ้นได้เร็วขนาดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มหวาดกลัวกับข่าวดีอย่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐของโจ ไบเดนว่าอาจจะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณต่อระบบบเศรษฐกิจ
สิ่งที่ขัดใจนักลงทุนเป็นอย่างมากคือความเชื่อมั่นของประธานเฟด
“ประเทศสหรัฐอเมริกาของเราในตอนนี้ยังอยู่ไกลจากเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานที่เราตั้งเอาไว้ กว่าที่เราจะกลับไปอยู่ในช่วงก่อนโควิดได้นั้นยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร”
ตอนนี้สิ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ สนใจมีเพียงเรื่องเดียวนั่นคือ “การจ้างงานที่ต้องทำให้กลับมาใกล้เคียงกับระดับปกติโดยเร็วที่สุด”
นักลงทุนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลกำลังให้ความสนใจกับการรักษาเสถียรภาพของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นอย่างมากว่าพวกเขาจะทำเช่นไรเมื่อผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีสามารถขึ้นแตะ 1.6% ได้ นั่นหมายความว่านักลงทุนกำลังเทขายพันธบัตรรัฐบาลซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่มีต่อการบริหารในภาคการเงินของรัฐ
เลล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญว่าทำไมเฟดต้องให้ความสำคัญกับการจ้างงานมากขนาดนี้ เธอกล่าวว่าอัตราที่จริงแล้วอัตราการว่างงานมีโอกาสเข้าใกล้ 10% มากกว่าที่จะวิ่งอยู่ที่ 6.3% เพราะโควิดทำให้สหรัฐอเมริกามีคนตกงานมากกว่าสี่ล้านคนและมีคนตกงานอีกมากมายที่ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในตัวเลขอัตราการว่างงานอย่างที่เราเห็นกันทุกวัน
นอกจากเจอโรม พาวเวลล์และนางเลล เบรนาร์ดแล้ว คณะกรรมการคนอื่นๆ ของเฟดก็ไม่สนใจความกังวลของนักลงทุนในตลาดด้วยเช่นกัน เจมส์ บลูราร์ด ประธานเฟดแห่งเซนต์ หลุยส์กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติของเศรษฐกิจที่เติบโตจะต้องมาควบคู่กับอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นการที่เราเห็นผลตอบแทนฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นเช่นนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว
แม้ว่าเจมส์จะประเมินตัวเลขผลตอบแทนอายุฯ 10 ปีเอาไว้ที่ 1.3% แต่นักลงทุนกลับเชื่อว่ามีโอกาสได้เห็นผลตอบแทนขึ้นไปถึง 2.0% ได้ ถึงจะขึ้นไปถึง 2.0% เจมส์บอกว่าก็ยิ่งเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อสามารถขึ้นไปถึงเป้าหมาย 2% ของเฟดได้เร็วยิ่งขึ้น
เอสเทอร์ จอร์จ ประธานเฟดแห่งเมืองเคนซัสแม้จะสนับสนุนแนวคิดของเจมส์และเจอโรม แต่เธอก็ไม่ได้ออกตัวสนับสนุนเรื่องเงินเฟ้อเหมือนกับเจมส์ เธอเพียงให้ความเห็นอย่างสุภาพว่า
“ในฐานะผู้วางนโยบายการเงิน เราไม่อาจดำเนินนโยบายตามพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ได้ รู้หรือไม่ว่าบางภาคส่วนอย่างเช่นสินค้าคงทนที่กำลังเติบโตได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางภาคส่วนที่ยังไม่สามารถฟื้นคืนได้อย่างเต็มกำลัง ในฐานะตัวแทนเฟด ดิฉันอยากให้นักลงทุนลองกลับไปดูความจริงว่าความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในตอนนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่กุขึ้นมาเองเพื่อหวังซื้อหุ้นในราคาถูกลง”
นอกจากนี้เธอยังให้คำแนะนำนักลงทุนด้วยว่าให้ระวังอัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในจังหวะประชาชนชาวอเมริกันทุกคนได้รับวัคซีนแล้ว เพราะนั่นจะทำให้ความต้องการในบางภาคส่วนที่เคยขาดหายไปกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง คณะกรรมการผู้ดูแลนโยบายการเงิน (FOMC) จะจับตาดูอย่างใกล้ชิดและถ้าเราเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนเมื่อไหร่ จะมีการประชุมเพื่อหารือเรื่องการเปลี่ยนนโยบายทันที
เมื่อนักข่าวถามเธอเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เอสเธอร์ก็ตอบว่า
“หากมอกในอีกแง่หนึ่ง นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเงินที่เฟดอัดฉีดเข้ามาในระบบกำลังทำหน้าที่ในแง่ของการฟื้นฟูได้เป็นอย่างดี แต่ส่วนตัวแล้วดิฉันมองว่าการเติบโตที่แท้จริงต้องทำให้ผลตอบแทนจากการถือพันธบัตรหลังหักเงินเฟ้อ (Real Yield) มีค่าเป็นบวกด้วยซึ่งเท่าที่ดิฉันเห็นตอนนี้ Real Yield ยังมีอัตราส่วนเป็นลบอยู่นะ”
ในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ประธานเฟดจะมีขึ้นพูดที่งาน Wall Street Journal Summit แม้จะเหลือความหวังเพียงน้อยนิด แต่นักลงทุนก็ยังหวังว่าประธานเฟดจะเปลี่ยนใจส่งสัญญาณว่าอยากแตะเบรกเงิน QE บ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี