ต้องจับตาตลาดลงทุนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มต้นเดือนมีนาคมเลยทีเดียวเพราะวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดลงทุนเริ่มปรับตัวลดลงจากความกังวลที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเข้าสู่ตลาดหมีในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทะยานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
กราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยจากการกู้ของผู้บริโภคสามารถขึ้นไปแตะ 1.6% ได้เป็นครั้งแรกในรอบปีสวนทางกับดัชนีหลักทั้งสามของสหรัฐฯ เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลง 2.5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กลายเป็นขาลงสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 1.8% และดัชนีแนสแด็กถือเป็นตัวที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด 4.9%
1. Zoom Video
บริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เพื่อการติดต่อสื่อสารแบบวีดีโอคอลและแชท “ซูม” (NASDAQ:ZM) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดในวันนี้หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรในไตรมาสนี้ของซูมจะออกมาอยู่ที่ $910 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.81
หากถามว่าบริษัทไหนที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงการแพร่ระบาดโควิดเมื่อปีที่แล้ว เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงบริษัทซูมอย่างแน่นอน ซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์การทำงานและเรียนอยู่ที่บ้านในช่วงเวลาที่ไม่สามารถออกไปพบปะนัดเจอกันได้ทำให้ซูมมีกำไรมาตลอดทั้งปี 2020 และสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรจากนักวิเคราะห์ได้ทุกไตรมาสในปีที่แล้ว
ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน ซูมปิดไตรมาสดังกล่าวด้วยยอดตัวเลขผู้ใช้งาน 433,700 คนซึ่งเป็นผู้ใช้งานที่มาจากบริษัท 1,289 แห่งที่มีรายได้มากกว่า $100,000 ภายในระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด ราคาหุ้นของซูมมีราคาซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่แล้วอยู่ที่ $373.61 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาล $588 ประมาณ 30% แต่ถึงอย่างนั้นหุ้นของซูมก็ได้ปรับตัวขึ้นมา 241% ในปี 2020
สิ่งที่นักลงทุนอยากทราบจากรายงานผลประกอบการครั้งนี้คือซูมจะยังรักษายอดผู้ใช้งานระดับนี้เอาไว้ได้อีกหรือไม่ในยามที่วัคซีนต้านโควิดกำลังกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกและบริษัทคู่แข่งชื่อดังก็มีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่คล้ายกับซูมเอาไว้ให้บริการสำหรับผู้ใช้งานของตน
2. Target
ห้างสรรพสินค้าผู้นำเข้าตลาดค้าปลีกอันดับห้าของสหรัฐอเมริกา “ทาร์เก็ต” (NYSE:TGT) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ในวันอังคารที่ 2 มีนาคม ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรโดยเฉลี่ยของทาร์เก็ตในไตรมาสล่าสุดจะออกมาอยู่ที่ $27,400 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.54
ยอดขายเปรียบเทียบของบริษัทซึ่งรวมถึงช่องทาง e-commerce เติบโตขึ้น 20.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ซึ่งหมายความว่านอกจากทาร์เก็ตจะสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่เข้ามาแล้ว พวกเขายังสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ได้ด้วย
ไบรอัน คอร์นเนล CEO ของทาร์เก็ตบอกกับนักวิเคราะห์ว่าทาร์เก็ตสามารถจับกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าได้ว่าพวกเขามีการเข้าถึงบริษัทผ่านทางเว็บไซต์และเลือกที่จะซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของตกแต่งบ้าน เครื่องนุ่มห่ม อาหารและเครื่องดื่ม ล่าสุดราคาหุ้นของทาร์เก็ตมีตัวเลขอยู่ที่ $183.44 เฉพาะปี 2021 ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 4% ส่วนตลอดทั้งปี 2020 ปรับตัวขึ้นมาทั้งสิ้น 80%
3. Costco Wholesale
บริษัทค้าปลีกที่มีรูปแบบธุรกิจเน้นการค้าส่งให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก “คอสโก” (NASDAQ:COST) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 2 ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสนี้คอสโกจะสามารถทำกำไรได้ $43,720 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีตัวเลขอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.44
คอสโกและทาร์เก็ตถือเป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากโควิดไม่ต่างกัน การเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ทำให้ทั้งสองบริษัทได้ลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นจำนวนมาก แต่เพราะตอนนี้เราได้มีวัคซีนต้านโควิดกันแล้ว ตลาดลงทุนเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในสภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น คำถามที่นักลงทุนสนใจก็คือคอสโกจะจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไรและนักลงทุนต้องการทราบคำตอบจากคำถามดังกล่าวในรายงานผลประกอบการครั้งนี้
เชื่อว่าคำตอบดังกล่าวจะสามารถอธิบายได้ด้วยว่าทำไมหุ้นคอสโกในปี 2021 ถึงปักหัวลงมากกว่า 12% ทั้งที่ปี 2020 สามารถทำขาขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ ล่าสุดหุ้นคอสโกมีราคาปิดอยู่ที่ $331 หลังจากที่ปรับตัวลดลงเกือบ 1% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา