ถือเป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวว่าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นเช่นไรเมื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในที่สุดก็ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสจริงๆ เสียทีด้วยวงเงิน $900,000 ล้านเหรียญสหรัฐและอีก $1.4 ล้านล้านเหรียญให้กับรัฐบาลนำไปช่วยเหลือประชาชน ในสัปดาห์ที่แล้วเราได้เห็นว่าเพียงแค่มีความหวังก็สามารถดันราคาทองคำให้กลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดและมีโอกาสขึ้นไปยืนเหนือ $1,900 ได้ซึ่งในสัปดาห์นี้เป้าหมายนั้นก็ยังคงอยู่
กว่าจะถึงวันที่สามารถยืนยันขาขึ้นในระยะยาวของทองคำได้จริงๆ นักลงทุนอาจจะต้องรอไปจนถึงวันที่ 5 มกราคมปี 2021 หากว่าพรรคเดโมแครตสามารถชนะการเลือกตั้งพิเศษในจอร์เจีย ข่าวดีนั้นจะช่วยการันตีได้ว่าพรรคเดโมแครตจะได้บริหารสหรัฐอเมริกาได้อย่างสบายๆ ไม่มีใครคอยขัดขาไปอีกสี่ปีและสิ่งแรกที่ไบเดนจะทำคือการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงเศรษฐกิจอเมริกาเอาไว้โดยเร็ว
เริ่มเห็นภาพขาขึ้นของตลาดทองคำอยู่ลางๆ
ด้วยปัจจัยกดดันที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ทองคำมีโอกาสกลับขึ้นไปยืนเหนือ $2,000 อย่างที่เคยทำได้มาก่อนในเดือนสิงหาคมได้ง่ายขึ้น แม้กระทั่งตอนนี้ยังรู้สึกได้เลยว่ามีโอกาสที่ทองคำจะกลับขึ้นยัง $1,900 หรือไปไกลกว่านั้นได้ง่ายมาก ยิ่งอัตราเงินเฟ้อไม่สามารถขึ้นได้ตามเป้าของธนาคารกลางสหรัฐฯ นักลงทุนยิ่งใช้ข้อได้เปรียบตรงนี้เป็นเหตุผลในการกลับเข้ามาถือสินทรัพย์สำรองปลอดภัยมากขึ้น
ในวันจันทร์ช่วงเช้าของตลาดลงทุนฝั่งเอเชียพบว่าราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนกุมภาพันธ์บนตลาด NYMEX สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดได้ที่ $1,911.65 วิ่งขึ้นมากกว่า 22% คิดเป็น 1.2% ภายในวันเดียว
อินดิเคเตอร์ที่ Investing.com ใช้วิเคราะห์กราฟทางเทคนิครายวันยังคงบอกว่ากราฟทองคำ่ล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงอยู่ในช่วง “แนะนำให้ซื้อ” แนวต้านจากเครื่องมือ Fibonacci Retracement ระบุว่ากราฟทองคำมีแนวต้านอยู่ที่ $1,927
นาย Sunil นักวิเคราะห์ทองคำจาก SK Dixit Charting วิเคราะห์ว่าหากราคาทองคำสามารถขึ้นมายืนอยู่ในโซนราคาระหว่าง $1,935 - $1,927 จะยิ่งเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของขาขึ้น ยิ่งถ้าทองคำสามารถขึ้นไปหา $1,968 ได้จะยิ่งเป็นการเปิดโอกาสสู่ $2,000 ได้ง่ายขึ้น
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจร่วงลงต่ำกว่า $50
ในทางตรงกันข้าม ราคาน้ำมันดิบกลับมีโอกาสปรับตัวลดลงภายในสัปดาห์นี้โดยมีปัจจัยสนับสนุนความเป็นไปได้นี้จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่นับวันยิ่งกลับมารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้าเหล่าบรรดากองทุนน้ำมันต่างอัดเงินให้กับขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงเจ็ดสัปดาห์ล่าสุดเพราะเชื่อว่าการมาของวัคซีนจะช่วยให้การแพร่ระบาดครั้งนี้ทุเลาลง
ในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบเปิดตลาดตัวยขาลงเกือบ 3% จากความกังวลของนักลงทุนว่าการเปิดตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อคืนนี้ดัชนีหลักๆ อย่างดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็กจะถูกโควิดทุบราคาลงมาแม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะถูกอนุมัติแล้วก็ตาม
ปัจจัยเชิงลบอีกหนึ่งประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกในตอนนี้คือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางตอนใต้ของสหราชอาณาจักรที่มีการค้นพบว่าเจ้าโควิด-19 ได้กลายพันธุ์ไปอีกขั้น เพิ่มความวามารถในการแพร่ระบาดของตัวเองเร็วขึ้นอีก 70% ข่าวร้ายนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันที่ตอนนี้ก็ยุ่งอยู่กับเรื่อง Brexit อยู่แล้วต้องรีบเพิ่มมาตรการควบคุมพื้นที่ดังกล่าวขึ้นสู่ระดับสี่ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการควบคุม ตอนนี้ความหวังที่สหราชอาณาจักรจะได้ฉลองคริสต์มาสอย่างสบายใจยิ่งเหลือน้อยลงไปทุกที
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและยังไม่สามารถประเมินภาพรวมของการแพร่ระบาดรอบสองว่าจะกินระยะเวลายาวนานอีกเท่าไหร่ทำให้ตลาดประเมินว่าเศรษฐกิจโลกอาจต้องถดถอยกลับไปทดสอบระดับต่ำสุดใหม่ก่อนที่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในปีหน้า ยิ่งตลาดลงทุนเต็มไปด้วยข่าวดีข่าวร้ายข่าวจริงข่าวลวงสลับกันเช่นนี้ยิ่งทำให้รูปแบบการลงทุนจะเปลี่ยนกลับไปเป็น “การซื้อเพราะข่าวลวงขายเพราะข่าวจริง” มากยิ่งขึ้นก่อนที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเริ่มเห็นผล
ที่สำคัญ สัปดาห์นี้นับว่าเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมก่อนจะเข้าสู่วันหยุดยาวตั้งแต่วันศุกร์นี้แล้ว นักลงทุนในตลาดมีแนวโ้น้มว่าจะพยายามปิดคำสั่งซื้อขาย เคลียร์ออเดอร์ทั้งหมดเพื่อรอทำการซื้อขายใหม่ในปีหน้า ยิ่งส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดลดลง
ในช่วงบ่ายของวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ (07:30 GMT) ราคาซื้อขายน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง $1.58 คิดเป็น 3.21% มีราคาซื้อขาย ณ เวลานั้นอยู่ที่ $47.66 ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในช่วงเวลาเดียวกันมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $50.49 ปรับตัวลดลง 3.39%
Chiyoki Chen หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัท Sunward Trading วิเคราะห์ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบว่า
“สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบอาจวิ่งลงต่ำกว่า $50 ส่วน WTI อาจลงกลับลงไปวิ่งอยู่ต่ำกว่า $45 อีกครั้งเพราะนักลงทุนในตลาดจะเริ่มเคลียร์คำสั่งซื้อขายที่ค้างอยู่ในพอร์ตลงทุนกันแล้ว”
การแพร่ระบาดรอบใหม่ส่งผลต่อความกล้าเสี่ยงของนักลงทุน
Jeffrey Halley นักวิเคราะห์จาก OANDA ประเมินว่านักลงทุนในตลาดน้ำมันและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ กล้าที่จะลงทุนมากขึ้นแล้วหลังจากที่ได้เห็นวัคซีนของไฟเซอร์ (NYSE:PFE) และโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) ออกมา นักลงทุนในตลาดบางส่วนไม่ได้สนใจปัจจัยเชิงลบที่เกิดขึ้น เอาแต่หวังว่าวัคซีนที่ออกมาจะเป็นดั่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
“หลังจากที่ตลาดได้ผ่านช่วงตื่นตระหนกและการเก็งกำไรไปแล้ว สุดท้ายปัจจัยพื้นฐานอย่างนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยจะเป็นตัวทำให้ตลาดค่อยๆ ฟื้นตัวตามระบบ อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้มีสิทธิ์ที่จะพังลงทันทีหากว่าไวรัสที่พึ่งกลายพันธุ์สามารถต้านทานวัคซีนที่ผลิตออกมาได้ หากเป็นเช่นนั้นนักลงทุนผู้เชื่อมั่นในความหวังก็จะถอนตัวออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและกลับมาสู่สินทรัพยปลอดภัยตามเดิม”