การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในช่วงเช้าของวันนี้ไม่สามารถหยุดการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐได้ สกุลเงินยังคงอ่อนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ยกเว้นแต่และ แต่หากมองในมุมของภาพรวมแล้วผลการประชุมครั้งนี้เฟดมีมุมมองต่อสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แน่นอนว่าพวกเขายังคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ดังเดิมที่ 0.00% - 0.25% แต่สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจคือการปรับมุมมองที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นบวกมากขึ้น นโยบายการซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน $4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนจะยังคงอยู่ต่อไป
การมาถึงของวัคซีนต้านโควิด-19 ทำให้นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดมองว่าตอนนี้ธนาคารกลางยังไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วยมากนัก เขามองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของ 2021 จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามเฟดก็จะเดินหน้าซื้อบอนด์ต่อไปจนกว่าเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้อย่างเช่นอัตราเงินเฟ้อจะสามารถขึ้นถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ หากจำเป็นธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากกว่านี้อีก สรุปการประชุมครั้งนี้ก็คือว่าเฟดมีมุมองต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการมาถึงของวัคซีนต้านโควิด แต่การจะยังคงเดินหน้าซื้อบอนด์หรือสินทรัพย์ต่อไปจนกว่าจะถึงเป้าหมายของเฟดนั้นจะทำให้ดอลลาร์ยังคงอยู่ในขาลงอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนชาวอเมริกันลดลง 1.1% ในเดือนพฤศจิกายนซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับตัวเลขการจับจ่ายในเดือนตุลาคม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวเลขยอดค้าปลีกที่ออกมาเมื่อวานปรับตัวลดลงต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อและกลุ่มผู้ค้ายานยนต์คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ปริมาณการซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นและเฟอร์นิเจอร์ก็ลดลง แม้การซื้อสินค้าออนไลน์จะเติบโตขึ้น แต่ยังไม่มากพอที่จะชดเชยการชะลอตัวที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ ใครก็ตามตอนนี้ที่จับตาดูภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สามารถวัดประสิทธิภาพการฟื้นตัวได้จากการดูตัวเลขยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์เปรียบเทียบกับยอดผู้ติดเชื้อใหม่และมาตรการคุมเข้มเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดได้
อ้างอิงข้อมูลจากสมาพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติและหน่วยงานวิเคราะห์ความมั่งคั่งของประชากรเชิงลึกของสหรัฐฯ ระบุว่าชาวอเมริกันมีการใช้จ่ายลดลง 14% ในช่วงแบล็คฟลายเดย์และไซเบอร์มันเดย์ที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ที่น่าเป็นห่วงคือแนวโน้มนี้อาจส่งผลมาถึงช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังใกล้จะมาถึงภายในวันศุกร์หน้าแล้วด้วยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จริงอยู่ว่าวัคซีนเริ่มมีการนำออกมาใช้งานแล้วแต่ก็เฉพาะสำหรับกรณีฉุกเฉินเท่านั้น กว่าจะเห็นผลของวัคซีนก็อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ทรุดหนักไปมากกว่านี้ก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เฟดยังไม่สามารถยิ้มได้อย่างเต็มปากในการประชุมครั้งนี้
มาดูในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั้งทางฝั่งรีพับลิกันและเดโมแครตกันบ้าง เท่าที่ได้ข้อมูลมาตอนนี้การมอบเงินเยียวยาให้กับประชาชนชาวอเมริกันโดยตรงน่าจะมีวงเงินอยู่ที่ $600 ต่อคน น้อยกว่า $1,200 ที่ให้ในรอบแรก ส่วนเงินช่วยเหลือผู้ที่ตกงานจะมีตัวเลขอยู่ที่ $300 และจะมอบให้เป็นระยะเวลา 16 สัปดาห์ นอกจากนี้ก็จะมีในเรื่องของการมอบเงินตามโครงการ PPP ด้วย หากว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาตามที่รายงานไป ตลาดหุ้นจะดีดตัวขึ้นก่อนตามด้วยตลาดสกุลเงินที่ปรับตัวขึ้นเพราะความอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจากมาตรการดังกล่าว
สกุลเงินและสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 2 ปีกับอีก 5 เดือนได้จากการอ่อนค่าของดอลลาร์และตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการในเดือนธันวาคมของยูโรโซนที่ออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่ามาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นจริงๆ แล้วยังไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจในยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ ที่ต่างออกไปก็คือตัวเลขในภาพการผลิตของสหราชอาณาจักรดีขึ้นแต่ตัวเลขในภาคบริการกลับหดตัว แต่การที่กราฟ GBPUSD ยังไม่ยอมลงแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังเชื่อมั่นว่าการเจรจา Brexit จะสามารถจบแบบทำสนธิสัญญาร่วมกันได้ ล่าสุดประธานคณะกรรมมาธิการแห่งสหภาพยุโรปได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เริ่มเห็นทางที่จะตกลงหาทางออกร่วมกันได้” ในฐานะนักลงทุนเราก็ยังคงต้องรอดูกันต่อไปจนกว่าจะมีข่าวยืนยันอย่างเป็นทางการ ส่วนวันนี้นักลงทุนยังต้องจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เช่นเดียวกันกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายประเมินว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยนโยบาย แต่ที่นักลงทุนสนใจคือ BoE จะพูดถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในกรณีที่ Brexit ล่มหรือไม่
กราฟ ยังพยายามทรงตัวอยู่ในระดับเดิมส่วน และ ปรับตัวลดลง สาเหตุที่กราฟ USDCAD ปรับตัวลดลงเพราะตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของแคนาดาเพิ่มขึ้น ส่วนของนิวซีแลนด์เป็นผลกระทบที่ตัวเลขราคาผลผลิตที่ทำจากนมชะลอตัว แต่การเติบโตของตัวเลข GDP ในไตรมาสที่สามของนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นผลมาจากการปราบปรามโควิดได้อย่างอยู่หมัดก็ช่วยให้กราฟกลับมาอยู่ในขาขึ้นได้ดั่งเดิมเรียบร้อย