ดูเหมือนว่าตราบใดที่โลกยังไม่มีวัคซีนรักษาโควิดอย่างเป็นทางการ วิธีการรับมือเจ้าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีที่สุดคงจะเป็นมาตรการล็อกดาวน์ เพราะหลังจากที่ยูโรโซนได้มีล็อกดาวน์ตลอดเดือนพฤศจิกายน ผลลัพธ์ที่ได้แม้จะยังไม่ดีมากแต่ก็ถือว่าชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศฝรั่งเศสและสเปนลดลงในขณะที่สถานการณ์ของเยอรมันและอิตาลียังไม่ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลเยอรมันกำลังหารือกันอยู่ว่าการยืดระยะเวลาล็อกดาวน์บางพื้นที่ต่อไปจำเป็นหรือไม่ อีกหนึ่งความแตกต่างระหว่างเยอรมันและฝรั่งเศสก็คือเยอรมันยังอนุญาตให้ร้านค้าเปิดให้บริการได้ในขณะที่ฝรั่งเศสอนุญาตให้เปิดได้เฉพาะร้านที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การล็อกดาวน์นี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซนในช่วงปลายปีนี้และจะยิ่งบีบให้ธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB) ต้องออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินใหม่ หากยูโรโซนทำบุญมามากพอ พวกเขาอาจจะไม่ต้องการกลับภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำสอง
ที่น่าประหลาดใจก็คือตลอดระยะเวลาการล็อกดาวน์ที่ผ่านมา กราฟ หรือสกุลเงินยูโรกลับไม่เคยอ่อนค่าลงมาเลย ยังคงสามารถวิ่งอยู่เหนือระดับราคา 1.18 ได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้เราเคยวิเคราะห์ไปว่ากราฟควรจะวิ่งลงมาหา 1.16 มากกว่าขึ้นไป 1.18 แต่เพราะในภาพรวมแล้วสถานการณ์โควิดในยุโรปตอนนี้ก็ยังถือว่าดีกว่าของสหรัฐฯ นั่นจึงทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนมูลค่ามากกว่า ด้วยสาเหตุนี้เราจึงคาดว่าตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของยูโรโซนและรายงานตัวเลขบรรยากาศทางธุรกิจจากสถาบัน IFO ของเยอรมันที่จะประกาศในสัปดาห์นี้จะยังคงปรับตัวสูงขึ้นกว่าตัวเลขครั้งก่อนเพราะความสนใจของตลาดจะยังไปอยู่ที่ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ แต่หากตัวเลขออกมาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ กราฟจะไม่สามารถขึ้นผ่านแนวต้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ในมุมมองของการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อไหร่ก็ตามที่กราฟ EUR/USD สามารถวิ่งลงมาต่ำกว่า 1.1820 ได้จะเปิดโอกาสให้กราฟมีโอกาสลงมาที่ 1.16 ได้ง่ายขึ้น
ชั่วโมงการเทรดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สัปดาห์นี้จะสั้นกว่าปกติเพราะจะมีวันขอบคุณพระเจ้าซึ่งถือเป็นวันหยุดใหญ่ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ นอกเหนือจากการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจในยูโรโซนที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้ ก็จะมีรายงานตัวเลขความเชื่อมั่นในผู้บริโภคและรายงานการประชุมจากคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ เป็นข่าวสำคัญ กราฟ อาจอยู่ในแนวโน้มขาลงตลอดทั้งสัปดาห์เพราะฝั่งสหรัฐฯ ไม่มีความเคลื่อนไหวสำคัญใดๆ
สัปดาห์นี้คู่สกุลเงินอย่าง และ คงจะปรับตัวขึ้นต่อเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอลลาร์แคนาดาที่ได้แรงหนุนมาจากรายงานตัวเลขยอดขายปลีกเติบโต 1.1% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินเอาไว้ 5 เท่าเช่นเดียวกันกับรายงานตัวเลขยอดขายจากการค้าส่ง ทางตอนใต้ของออสเตรเลียก็ได้คลายมาตรการคุมเข้มโควิดลงแล้วหลังจากเจอบุคคลซึ่งเป็นตัวต้นเหตุของการล็อกดาวน์วิคตอเรียที่ผ่านมา
ทางฝั่งสหราชอาณาจักรก็พบว่ารายงานตัวเลขยอดค้าปลีกสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเป็น 1.2% แทนที่จะหดตัวอย่างที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ข่าวดีนี้ช่วยให้สกุลเงิน แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแต่สำหรับรายงานตัวเลขดัชนี PMI ในเดือนพฤศจิกายนของยูโรโซนอาจออกมาไม่สวยนัก ดังนั้นจึงควรระวังสกุลเงินอ่อนค่าลงด้วยในสัปดาห์นี้