นักลงทุนในยุคนี้กำลังให้ความสนใจกับความเป็นไปได้ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่อาจได้ใช้งานจริงในอนาคตอันใกล้หลังจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังของสหรัฐฯ เทสลา (NASDAQ:TSLA) ถูกประกาศแล้วว่าจะได้ขึ้นไปอยู่บนดัชนี S&P 500 ในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ S&P 500 ต้องปฎิเสธเทสลาอีกต่อไปหลังจากสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นตลอดทั้งปี 2020 ไม่ว่าจะรายงานผลประกอบการเป็นบวกสี่ไตรมาสติกต่อกันซึ่งถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขหลักของดัชนีและขาขึ้น 481% ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน
จากความสำเร็จของเทสลา ตอนนี้นักลงทุนกำลังให้ความสนใจกับหุ้นของบริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเจ้าอื่น โดยหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากรัฐบาลทั่วโลกมากขึ้นในยุคที่รถไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินฝันอีกต่อไป หนึ่งในประเทศที่ได้ชื่อว่าเจ้าพ่อเทคโนโลยีแห่งยุคนี้อย่างประเทศจีนก็ไม่ได้นิ่งดูดายกับกระแสรถไฟฟ้าที่กำลังเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก ที่ผ่านมาจีนก็ได้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองมาโดยตลอด รัฐบาลปักกิ่งตั้งเป้าเอาไว้ว่าภายในปี 2025 จะต้องมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอยู่บนถนนไม่ต่ำกว่า 15%
หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่นักวิเคราะห์วอลล์ สตรีทให้ความสนใจมากเป็นพิเศษคือแบรนด์ “นีโอ (NIO) (NYSE:NIO)" ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นของบริษัทนีโอที่อยู่บนตลาดหุ้นนิวยอร์กสามารถปรับตัวขึ้นได้มากกว่า 1,000% ตัวบริษัทมีมูลค่าตลาดมากกว่า $60,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งสูงยิ่งกว่าของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังอย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ (NYSE:GM) เสียด้วยซ้ำ
การตั้งราคารถยนต์ของบริษัทนีโอถือว่าไม่มีความเกรงกลัวต่อคู่แข่งอย่างเทสลาเลย ราคาเริ่มต้นสำหรับรถ SUV รุ่น ES6 ของนีโอมีราคาอยู่ที่ $54,000 ซึ่งสูงกว่าราคารถ Model 3 ของเทสลาที่เป็นรุ่นยอดนิยมมากถึงสามเท่า สิ่งที่ทำให้รถยนต์ของนโอแตกต่างออกไปจากคู่แข่งคือการบริการและสถานีสำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ นอกจากนี้บริษัทนีโอกำลังพยายามอย่างหนักในการจะสร้าง “รถแท็กซี่ที่ขันเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์ (Robotaxi)” ให้ได้ภายในปี 2022 ในปีที่แล้วนีโอสามารถขายรถได้ทั้งสิ้น 20,565 คัน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรแบบปีต่อปีอยู่ที่ 81%
ปัญหาที่เกือบทำนีโอล้มหัวคะมำ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าบริษัทนีโอจะไม่มีปัญหาเลย ในปีที่แล้วบริษัทนีโอเคยประสบปัญหาภาวะเงินฟืดอย่างหนักจนทำเอานักลงทุนเกิดความไม่ไว้ใจในอนาคตของบริษัท โชคยังดีที่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมามีนักลงทุนที่ว่ากันว่ามาจากทางภาครัฐของจีนเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องจนทำให้นีโอสามารถรอดพ้นจากความยากลำบากนี้มาได้ ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานน้ำมันและกระแสรถพลังงานไฟฟ้าของเทสลาที่มาแรง จึงช่วยหนุนการซื้อขายหุ้นของบริษัทนีโอเพิ่มขึ้นรวมแล้วมากถึง $1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากการรายงานผลประกอบการที่วัดถึงสิ้นเดือนกันยายน พบว่าบริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้กับลูกค้าได้ 12,206 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 146% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบแบบปีต่อปีมากถึง 154% ด้วยตัวเลขการเติบโตที่ยอดเยี่ยมนี้เองที่ทำให้นักวิเคราะห์มีความมั่นใจและราคาเป้าหมายของหุ้นนีโอขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
แบงก์ ออฟ อเมริกาได้ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นของนีโอขึ้นอีกสองเท่าเป็น $54.70 ในขณะที่เจพี มอร์แกนและดอยซ์แบงก์ ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมันก็ได้ปรับราคาคาดการณ์เป้าหมายหุ้นขึ้นไปอยู่ที่ $50 นอกจากรายงานผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว นักวิเคราะห์ชั้นำเหล่านี้ยังเชื่อว่าแผนการขยายตลาดอันทะเยอทะยานของนีโอจะสามารถสู้กับการแข่งขันขายรถ Model 3 จากเทสลาในตลาดประเทศจีนได้อย่างสูสี
สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้รายงานแถลงการณ์ของ CEO บริษัทนีโอนายวิลเลียม ลีที่กล่าวเอาไว้ว่า
“เร็วๆ นี้เราจะขยายตลาดไปยังการผลิตรถเก๋งสี่ประตู ที่สำคัญเรายังมีเซอร์ไพรส์ในการผลิตรถยนต์อีกสองรุ่นซึ่งอยู่ในแบบเดียวกันกับรถเก๋งสี่ประตูด้วย”
นอกจากนี้ยังมีข่าวด้วยว่านีโอมีแผนที่จะตีตลาดยุโรปภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021 โดยจะมุ่งเน้นไปที่รถหรูก่อนเป็นอันดับแรก
โดยสรุปแล้ว
ปี 2020 ที่กำลังจะจบลงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเติบโตของบริษัทนีโอ ไม่ว่าจะเทสลาหรือนีโอ พวกเขาล้วนแต่มีส่วนในการผลักดันให้โลกยอมรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้เร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เล็กๆ จะสามารถก้าวขึ้นมาแย่งตลาดกับบริษัทใหญ่ๆ ในอนาคตได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นนักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุนกับนีโอ