สำหรับตลาดลงทุนตอนนี้ถือได้ว่าได้ผ่านบรรยากาศแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปแล้ว แม้จะยังมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กับการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง แต่ตลาดกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นแล้วและหันไปสนใจกับตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจนสูงเกินกว่า 150,000 คนต่อวันแทน
เชื่อว่ายอดผู้ติดเชื้อจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดการผันผวนของตลาดในสัปดาห์นี้เพราะนักลงทุนจะจับตาดูอย่างจริงจังแล้วว่าจะเริ่มมีการการล็อกดาวน์ในหลายๆ รัฐหรือไม่ หลายสื่อในสหรัฐอเมริการายงานตรงกันว่าสามรัฐที่อยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศอย่างแคลิฟอร์เนีย โอเรกอนและวอร์ชิงดันกำลังหารือกันว่าควรจะระงับการเตินทางที่ไม่จำเป็นชั่วคราวหรือไม่
ในขณะที่โลกกำลังจับตาดูยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯ ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะรอดูความคืบหน้าของวัคซีนต้านโควิดในสัปดาห์นี้ด้วย นี่อาจเป็นเหตุผลให้หุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจยังสามารถยืนอยู่ในขาขึ้นได้แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น ดัชนี S&P 500 และ Russell 2000 ยังสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์วิ่งกลับขึ้นไปอยู่ในระดับราคาเดียวกันกับก่อนช่วงโควิดระบาด
นอกจากการจับตาดูภาพรวมตามที่ได้กล่าวไปแล้ว สัปดาห์นี้จะมีการรายงานผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นเราจึงได้ยกข้อมูลของสามบริษัทดังกล่าวมาฝากคุณผู้อ่านกันในสัปดาห์นี้
1. Walmart
บริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา “วอลล์มาร์ท” (NYSE:WMT)จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชี 2021 ของไตรมาสที่สามในวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายนก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสนี้วอลล์มาร์ทจะสามารถสร้างตัวเลขผลกำไรเอาไว้ที่ $132,080 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.18
ในช่วงของการแพร่ระบาดที่ผ่านมา วอลล์มาร์ทถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้กำไรจากการอยู่บ้านของผู้คนเป็นอย่างมาก ยอดขายเฉพาะผ่านทางออนไลน์ของวอลล์มาร์ทในไตรมาสที่กระโดดขึ้น 97% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว จากการรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดระบุว่าวอลล์มาร์ทได้กำไรจากการส่งอาหารไปยังประตูบ้านของผู้บริโภคสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่บริษัทเคยทำได้
จากความคาดหวังว่าการรายงานผลประกอบการในวันพรุ่งนี้วอลล์มาร์ทจะยังสามารถแสดงตัวเลขที่แข็งแกร่งได้อีกหนึ่งไตรมาส นักลงทุนจึงพร้อมใจกันถือหุ้นวอลล์มาร์ทและทำให้ตลอดทั้งปี 2020 จนถึงปัจจุบันหุ้นวอลล์มาร์ทปรับตัวขึ้นมาแล้ว 27% เมื่อวันศุกร์ที่แล้วหุ้นวอลล์มาร์ทมีราคาล่าสุดอยู่ที่ $150.54 ปรับตัวขึ้นมา 1.56%
ในการรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุด วอลล์มาร์ทได้พูดถึงความสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่สองจากรัฐบาล พวกเขาบอกว่าอันที่จริงแล้วประชาชนยังมีเงินเก็บเอาไว้เพื่อจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น หากได้การกระตุ้นจากภาครัฐก็จะทำให้พวกเขามีความกล้าที่จะซื้อสินค้าได้มากขึ้น
2. Home Depot
บริษัทผู้ขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านยักษ์ใหญ่โฮม ดีพอตต์ (NYSE:HD) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ในวันและเวลาเดียวกันกับวอลล์มาร์ท นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะสามารถรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นออกมาอยู่ที่ $3.05 และมีตัวเลขกำไรทั้งหมดในไตรมาสนี้อยู่ที่ $31,780 ล้านเหรียญสหรัฐ
นับตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคม หุ้นของโฮม ดีพอตต์สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้มากกว่า 80% อันเป็นผลมาจากสเหตุหลักสองประการ หนึ่งคือการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการซื้อขายอุปกรณ์ก่อสร้างได้ง่ายขึ้น สองคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทมีนโยบายทำงานจากที่บ้านมากขึ้นและนำไปสู่การต่อเติมบ้านเพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาราคาหุ้นของโฮม ดีพอตต์ไม่ได้เพิ่มขึ้นไปจากช่วงเวลา ณ ตอนนี้เท่าไหร่ ล่าสุดหุ้นโฮม ดีพอตต์มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $277.17 คาดว่าสาเหตุของการชะลอตัวของราคาหุ้นเกิดมาจากช่วงเวลาของการต่อเติมเสริมแต่งได้ผ่านไปแล้วตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา เมื่อเทียบยอดขายในไตรมาสที่สองของปีนี้กับปี 2019 พบว่าเพิ่มขึ้น 26% นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่าตอนนี้บริษัทกำลังมีการใช้จ่ายเกินกว่ากำไรที่ได้มาในช่วงโควิดระบาด
3. NVIDIA
หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเอ็นวีเดีย (NASDAQ:NVDA) จะรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่สามในวันพุธที่ 18 พฤศจิกายนหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสนี้เอ็นวิเดียจะได้กำไร $4,410 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.57 ตลอดทั้งปี 2020
ถือเป็นอีกหนึ่งปีทองของบริษัท หุ้นเอ็นวีเดียสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $588.01 ได้เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน คิดเป็นการปรับตัวขึ้นตลอดทั้งปี 130% และยังได้รับตำแหน่งหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดจากดัชนีที่ใช้ชี้วัดบริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ “ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ของฟิลาเดเฟีย” ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นเอ็นวีเดียปรับตัวขึ้นในดัชนีดังกล่าว 36% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $531.88
ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้หุ้นเอ็นวีเดียกลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีอัตราราคาหุ้นเทียบผลกำไรดีมากอยู่ที่ 97.7 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของบริษัทในกลุ่มเดียวกันที่ 43.64 ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานบริษัทเอ็นวีเดียไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะตลาดที่เอ็นวีเดียครอบครองอยู่อย่างตลาดของคนเล่นเกมและตลาด AI ยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องตามเทคโนโลยีที่พัฒนาไปในทุกๆ วัน แต่ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้ว การที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะย่อตัวลงมาจากข่าวร้ายเพียงเล็กน้อยได้ตลอดเวลา