อีเวนท์หลักคือการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน ในปัจจุบันตัวแทนจากพรรคเดโมแครต นายโจ ไบเดน มีคะแนนนำในแทบทุกรัฐที่คะแนนความนิยมของทั้งสองพรรคใกล้เคียงกัน ที่ต้องจับตามากที่สุดคือฟลอริดา เนื่องจากเป็นรัฐใหญ่ มีการรายงานผลที่เร็ว และถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ แพ้อาจนำไปสู่การเสียตำแหน่งประธานาธิบดีได้
ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ 4-5 พฤศจิกายน เชื่อว่าเฟดจะ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.00-0.25% แต่มองการสื่อสารจะเป็นลักษณะสวนทางกับความเสี่ยงหลักแบ่งเป็นสองกรณี (1) ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐ “ปรับตัวลง” (โอกาสเกิดขึ้น 60%) เชื่อว่าเฟดจะสื่อสารในเชิงผ่อนคลายมากขึ้น และอาจมีการพูดถึงนโยบายการเงินที่สามารถนำมาใช้เพื่อลดความผันผวน และกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก เช่น Negative Interest Rate หรือ Yield Curve Control แต่ (2) ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐ “ปรับตัวขึ้น” หลังเลือกตั้ง (โอกาสเกิดขึ้น 40%) เชื่อว่าเฟดจะลดการสื่อสารในเชิงผ่อนคลายนโยบายการเงินลง และหันไปสนับสนุนการใช้นโยบายการคลังในปี 2021 ทันที
ส่วนในช่วงท้ายสัปดาห์ ตลาดมองว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls) จะชะลอตัวลงเหลือ 600,000 ตำแหน่งในเดือนล่าสุดเนื่องจากเป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้ง แต่ตัวเลขการว่างงาน (Unemployment Rate) จะลดลงไปที่ระดับ 7.7%
ทั้งหมดเป็นประเด็นที่ทำให้ตลาดเงินผันผวนได้มากในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าโอกาสเอียงไปทางการแข็งค่าของดอลลาร์มากกว่าเล็กน้อย เนื่องจากประเด็นที่น่าจับตาที่สุดคือผลการเลือกตั้ง ที่อาจไม่สามารถหาข้อสรุปกันได้เร็ว นำไปสู่ความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะปรับฐาน และนักลงทุนฝั่งสหรัฐจะกลับมาพักในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์ก่อน
กรอบดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) สัปดาห์นี้ 93.7-94.7จุด ระดับปัจจุบัน 94.0 จุด
ด้านเงินบาท สัปดาห์นี้คาดว่าจะแกว่งตัวตามการเคลื่อนไหวของดอลลาร์และตลาดหุ้นโลกเป็นหลัก ในระยะสั้นถ้าตลาดเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) หลังเลือกตั้ง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินบาทแข็งค่ากลับพร้อมกับสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ แต่ในทางกลับกันถ้าเกิดการปรับฐานอาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าเร็วเนื่องจากจะมีแรงขายลดสินทรัพย์เสี่ยงของนักเก็งกำไรทั่วโลกมากดดันทันที
กรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 31.00-31.50 บาทต่อดอลลาร์