ท่ามกลางไวรัสโรคระบาดโควิด-19 จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่รายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐอเมริกาบนดัชนี S&P 500 จะออกมามีตัวเลขไม่สู้ดีนัก บางบริษัทเอาตัวรอดไปได้ บางบริษัทสร้างความผิดหวังและบางบริษัทสร้างความกังวล
ในสัปดาห์นี้ยังมีบริษัทใหญ่ๆ อีกมากกว่า 170 บริษัทที่เรียงคิวทยอยรายงานผลประกอบการซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทที่รู้จักกันเป็นอย่างดีทั้งนั้นเช่น Boeing Co (NYSE:BA), Caterpillar Inc (NYSE:CAT), Merck & Company Inc (NYSE:MRK) แต่ที่น่าจับตามองที่สุดคือบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม 5 เทพหุ้นเทคฯ ที่มีเพียงเน็ตฟลิกซ์เท่านั้น Netflix Inc (NASDAQ:NFLX)) ที่รายงานผลประกอบการไปแล้วก่อนหน้านี้
เพราะสัปดาห์นี้จะมีบริษัทชื่อดังที่ใครๆ ต่างก็รู้จักรายงานผลประกอบการ ดังนั้นเราจึงขอยกเรื่องราวล่าสุดของทั้งสามบริษัทมาให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูลก่อนการเลือกตั้งประธานาะิบดีสหรัฐฯ จะมาถึง
1. Microsoft Corporation (NASDAQ:MSFT)
“แก่แต่เก๋า” หากจะนิยามบริษัทไมโครซอฟต์ว่าอย่างไรก็มีเพียงแต่คำนี้ที่เหมาะสม บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ชื่อดังของโลกอย่าง “ไมโครซอฟต์ เวิร์ด” ที่ปัจจุบันหันไปเอาดีกับการต่อยอดผลิตภัณฑ์ของตนบนเทคโนโลยีคลาวด์อย่างไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีไตรมาสที่หนึ่งปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไมโครซอฟต์จะสามารถประกาศยอดขายได้ $3,576 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นคาดว่าจะออกมาอยู่ที่ $1.54
เพราะความได้เปรียบบนผลิตภัณฑ์เดิมที่ยังคงมีผู้ใช้งานอย่างเหนียวแน่น ไมโครซอฟต์จึงได้พัฒนาอดีตให้สามารถอยู่ร่วมกับปัจจุบันได้อย่างลงตัว การผสมผสานอันสมบูรณ์แบบนี้คือเกราะป้องกันหุ้นไมโครซอฟต์จากการโดนผลกระทบของโรคระบาดได้เป็นอย่างดี สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนออกมาด้วยราคาหุ้นที่ตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 37% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $216.23 เพิ่มขึ้น 0.62% ในวันศุกร์
ไมโครซอฟต์ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่สามารถไปทำงานยังออฟฟิศแต่กลับต้องทำงานอยู่ที่บ้านแทน ความต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ผ่านคลาวด์เพื่อทำงานจึงมีเพื่อสูงขึ้น นี่คือสิ่งที่ไมโครซอฟต์เล็งเห็นตั้งแต่ก่อนยุคโควิดซึ่งมาแสดงผลชัดเจนในช่วงปี 2020 นี้เอง
ยอดขายของ Azure หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ผูกติดกับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีคลาวด์เพิ่มขึ้น 47% ในไตรมาสก่อนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในภาพรวมของธุรกิจทั้งหมด ไมโครซอฟต์เติบโตขึ้นจากการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่แล้ว 59% และเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 64%
2. Apple (NASDAQ:AAPL)
บริษัทผู้ผลิตมือถือสมาร์ทโฟนชื่อดัง iPhone อย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) จะรายงานผลประกอบการของไตรมาสล่าสุดในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคมหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไตรมาสนี้แอปเปิลจะสามารถรายงานผลกำไรออกมาอยู่ที่ $6,398 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นคาดว่าจะออกมาอยู่ที่ $0.71
นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามือถือรุ่นล่าสุดอย่าง “ไอโฟน 12” ที่พึ่งเปิดตัวไปจะพาให้หุ้นแอปเปิลกลับเข้าสู่วัฐจักรของการเติบโตได้อีกครั้งเพราะมือถือรุ่นดังกล่าวสามารถรองรับเทคโนโลยี 5G ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นการผลิกโฉมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของมนุษยชาติไปอีกขั้น แต่สำหรับความเป็นจริงตอนนี้ ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นแอปเปิลปรับตัวขึ้นมา 57% จากจุดต่ำสุดเดือนมีนาคมและได้รับผลกระทบจากโควิดจนทำให้ไอโฟน 12 ต้องเปิดตัวล่าช้าไปหนึ่งเดือน ล่าสุดหุ้นแอปเปิลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $115.04 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนกันยายน 15%
แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่สิ่งที่ยังสามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้อยู่คือบริการที่มาเป็นระบบนิเวศน์ซึ่งอยู่ล้อมรอบมือถือไอโฟน นอกจากนี้แอปเปิลยังมีเงินสดอยู่ในมืออีก $207,000 ล้านหรียญสหรัฐและมีหนี้ทั้งระยะสั้นและยาวอยู่ประมาณ $108,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งถือว่ายังสามารถบริหารได้อย่างสบายๆ
3. Amazon.com Inc (NASDAQ:AMZN)
บริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของโลกแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ในวันและเวลาเดียวกันกับบริษัทแอปเปิล จากยอดขายและชื่อเสียงที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดอย่างหนักที่ผ่านมาทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอีก 30% หรือคิดเป็น $9,260 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $7.29
หากนับตั้งแต่ต้นปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นของแอมาซอนทะยานขึ้นมาแล้ว 73% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $3,204.40 ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปเต็มๆ หากว่าการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ออกมาผิดคาดจนราคาหุ้นปรับลดลง นักลงทุนจะถือว่านี่คือโอกาสที่จะเข้าไปช้อนถือหุ้นของแอมาซอนเพราะบริษัทได้พิสูจน์แล้วว่าโลกดิจิทัลมาเร็วกว่าที่เราคิดและเทคโนโลยีคลาวด์คืออนาคตสำหรับการทำธุรกิจ