เมื่อวันศุกร์ที่แล้วดอลลาร์สหรัฐสามารถกลับมาแข็งค่าได้เนื่องตัวเลขเศรษฐกิจในหลายๆ ส่วนออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 1.9% มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ถึงสองเท่า เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขดังกล่าวโดยไม่ร่วมกับอุตสาหกรรมยานยนต์พบว่าความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ 0.4% แม้อัตราการว่างงานจะยังอยู่ในระดับสูงและตัวเลขการใช้เงินเยียวยาของประชาชนจะยังอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลาห้าสัปดาห์ติดต่อกัน แต่ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่กล้าซื้อสินค้าอย่างเช่นเสื้อผ้าและเครื่องประดับก็พอจะชดเชยกับความเสียหายที่เกิดจากการเลื่อนเวลาเปิดโรงเรียนไปได้ สาเหตุที่ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคสามารถกลับมาได้เกินคาดการณ์ขนาดนี้ต้องยกให้เป็นผลงานของการกลับมาเปิดเมืองในยี่สิบรัฐหลังจากโดนโควิด-19 เล่นงาน
คำถามใหญ่ที่ตลาดอยากรู้ในตอนนี้คือการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงหน้าหนาวนี้จะเป็นอย่างไร แม้ภาพรวมจะพอประเมินได้ว่าการจับจ่ายใช้สอยคงจะสู้ช่วงก่อนโควิดไม่ได้ แต่หากภาครัฐยังคงอนุญาตให้ธุรกิจเปิดดำเนินการตามปกติจนประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้แตกต่างกับปีที่แล้ว ความต้องการที่อยากจับจ่ายใช้สอยก็อาจจะมีมากกว่าความต้องการเก็บเงิน ในความเห็นของฉัน (ผู้เขียน) การฟื้นตัวของบรรยากาศความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคเช่นนี้น่าสนใจยิ่งกว่าข่าวการเลือกตั้ง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นเสียอีก ณ จุดนี้ที่ตลาดไม่รู้จะพึ่งพาข่าวใด ความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงเป็นมาตรวัดเดียวที่เชื่อถือได้ก่อนการเลือกตั้งจะมาถึงแต่ในขณะเดียวกันตลาดก็ยังไม่เลิกตามข่าวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการดำเนินการใดๆ ก็แล้วแต่จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่อาจสร้างความแตกต่างให้กับเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งได้ นักลงทุนจับตาดูพาดหัวข่าวใหญ่ๆ ในสื่อสหรัฐฯ ในช่วงนี้เอาไว้ให้ดีเพราะข่าวเหล่านี้คือปัจจัยที่ส่งผลต่อการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่การเลือกตั้งจะมาถึงฉันมองว่ากราฟ USD/JPY อาจจะชะลอขาขึ้นเอาไว้ก่อนเพราะนักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงซึ่งการถือดอลลาร์สหรัฐเอาไว้จะทำให้มูลค่าของสกุลเงินแข็งค่าขึ้น
ข้ามฟากกลับไปที่ทวีปยุโรปที่มีข่าว Brexit เป็นประเด็นอยู่ วันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมาการเจรจาก็ผ่านไปด้วยการยังหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ อ้างอิงคำพูดจากฝั่งตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป การเจรจาจบลงด้วยคำพูดของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันที่บอกให้ประชาชนเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับการออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่ทำข้อตกลงทางการค้าใดๆ เอาไว้ก่อนเลย ถึงจะกล่าวออกมาอย่างนั้นแต่ผู้ที่ถือเงินปอนด์ก็ยังหวังว่าการเจรจาจะสามารถดำเนินการต่อได้ในสัปดาห์นี้ นางเออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมธิการยุโรปยืนยันว่าทีมงานของเธอจะบินมายังกรุงลอนดอนในสัปดาห์นี้เพื่อเจรจาต่อในขณะที่ฝั่งบอริส จอห์นสันยังแสดงจุดยืนว่าไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกหากสหภาพยุโรปไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตามที่ตนได้ยื่นไป เมื่อพิจารณากับความเสี่ยงดังกล่าวประกอบกับยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่ยังเพิ่มสูงขึ้นในยุโรป ทำให้ฉันมองว่าสัปดาห์นี้กราฟ GBP/USD มีโอกาสเข้าใกล้ระดับราคา 1.28 มากกว่าที่จะขึ้นไปยัง 1.30
สถานการณ์ของสกุลเงินยูโรยังคงน่าเป็นห่วง ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในยูโรโซนยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้วพบว่ายอดผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นวันที่สามติดต่อกันจนรัฐบาลต้องสั่งปิดโรงเรียนทั้งหมดที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศ อีกไม่นานเราคงจะได้เห็นตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นวันละ 10,000 คนต่อวัน ที่ประเทศฝรั่งเศสมีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 30,000 คนในวันพฤหัสบดี หากยอดผู้ติดเชื้อยังเพิ่มสูงขึ้นขนาดนี้ มาตรการล็อกดาวน์อย่างเต็มรูปแบบก็อาจจำเป็นต้องได้ใช้ในยูโรโซน เหลือเพียงปัจจัยแห่งเวลาเท่านั้นก่อนที่กราฟ EUR/USD จะลงมายังระดับราคา 1.16 ในสัปดาห์นี้จะมีรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ประจำเดือนตุลาคมในยูโรโซน หากตัวเลขที่ออกมาลดลงจะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB) ผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นและจะยิ่งทำให้มูลค่าของสกุลเงินยูโรอ่อนค่าลง
ดอลลาร์ออสเตรเลียแม้จะไม่ลงต่อแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหักหัวขึ้น ในขณะที่ดอลลาร์นิวซีแลนด์และดอลลาร์แคนาดายังพอจะสามารถวิ่งขึ้นได้บ้างเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตลอดสัปดาห์ที่แล้วดอลลาร์ออสเตรเลียไม่สามารถยืนในขาขึ้นได้อย่างมั่นคงเพราะธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) แสดงความเป็นกังวลต่อภาคแรงงานของประเทศ ในทางกลับกันตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตของเดือนกันยายนกลับสามารถปรับตัวขึ้นได้จาก 51 เป็น 54 ส่วนดอลลาร์แคนาดาคาดว่าจะสามารถแข็งค่าขึ้นได้ในสัปดาห์นี้เนื่องจากตัวเลขยอดขายในภาคการผลิตของสัปดาห์ที่แล้วออกมาดีซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขยอดค้าปลีกในสัปดาห์นี้ของแคนาดาออกมาดีขึ้นตามไปด้วย