ไม่ว่าเป็นจะบริษัทผู้ผลิตน้ำมันซาอุฯ ที่รวยมากติดอันดับโลกอย่าง Aramco (SE:2222) ลงมาจนถึงบริษัทขุดเจาะน้ำมันเล็กๆ ในโอคลาโฮมาและทุกบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันในปีนี้ต่างได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันตกต่ำ ในประเทศสหรัฐอเมริกาตอนนี้มีอย่างน้อย 36 บริษัทแล้วที่ขอยื่นล้มละลายในเดือนสิงหาคม แม้แต่บริษัทอารัมโกยังต้องยอมที่จะเลื่อนแผนการขยายบริษัทออกไปตามความต้องการของผู้ถือหุ้นและรัฐบาลซาอุฯ
ทุกคนต่างพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตโควิด-19 นี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากการแพร่ระบาดนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือบริษัทผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่ในยุโรปและสหรัฐฯ เริ่มมีแนวคิดถึงอนาคตตลาดพลังงานที่ไม่เหมือนกันแล้วซึ่งส่งผลต่อการวางกลยุทธ์และฐานที่ตั้งของบริษัทต่อไปในอนาคต
มุมมองด้านพลังงานที่ต่างกันระหว่างยุโรปและอเมริกา
บริษัทผู้ผลิตน้ำมันใหญ่ๆ ของยุโรปอย่างเช่น Royal Dutch Shell (LON:RDSa), (NYSE:RDSa), BP (LON:BP), (NYSE:BP), Total (PA:TOTF), (NYSE:TOT) และ Equinor (OL:EQNR), (NYSE:EQNR) กำลังเร่งวางแผนให้มีความสอดคล้องกับเทคโนโลยีพลังงานที่พึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติน้อยลง
ในขณะที่ยุโรปเริ่มมองไปที่พลังงานสะอาด บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่างเช่น Chevron (NYSE:CVX), ConocoPhillips (NYSE:COP) และ ExxonMobil (NYSE:XOM) ยังเชื่อมั่นและผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติต่อไป พวกเขายังคงใช้กลยุทธ์อย่างที่เคยทำมาตั้งแต่ยุคก่อนโควิดโดยยอมลดกำลังการผลิตและค่าใช้จ่ายบางส่วนลงแทน
บริษัทผู้ผลิตพลังงานในยุโรปมองว่าปี 2020 ที่ความต้องการพลังงานรูปแบบเดิมๆ ลดลงถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้โลกลดการใช้พลังงานน้ำมันลงจริงๆ อย่างที่เคยฝันไว้มานาน พวกเขาจึงเริ่มที่จะปล่อยสินทรัพย์ที่ได้กำไรจากราคาน้ำมันออกบ้างและหันไปลงทุนในก๊าซธรรมชาติและพลังงานสะอาดในสัดส่วนที่มากขึ้น ส่วนบริษัทอเมริกันมองว่าขาลงของความต้องการน้ำมันดิบเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เรื่องโควิดจบลงมูลค่า ความต้องการน้ำมันดิบและก๊าซเชื้อเพลิงก็จะกลับมาและในที่สุดก็จะสามารถชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในปีนี้ได้
ภาพรวมอุปสงค์น้ำมันดิบยังไม่ชัดเจน นวัตกรรมเปลี่ยนโลกคือสิ่งจำเป็น
ในโลกนี้ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่าปริมาณความต้องการน้ำมันดิบภายในปีหน้า ห้าปีข้างหน้าหรืออีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ความเชื่อที่ว่าความต้องการน้ำมันดิบต่อจากนี้จะชะลอตัวลงแล้วอาจะเป็นเพียงความคิดและความหวังของฝั่งยุโรปเพียงฝ่ายเดียว
อย่างแรก พวกเขาต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งให้ได้ก่อนคือการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างเช่นพลังงานไฟฟ้าจะทำกำไรได้น้อยกว่าการผลิตน้ำมันและก๊าซเชื้อเพลิง แต่กฎหมายและภาษีในยูโรโซนตอนนี้ก็เอื้อให้กับการลงทุนในพลังงานใหม่ๆ ซึ่งบางบริษัทอาจมองว่าการช่วยเหลือจากภาครัฐนั้นคุ้มค่ากับกำไรที่เสียไป ในทางกลับกันบริษัทผู้ผลิตน้ำมันอเมริกันยังคงเชื่อมั่นในการทำกำไรและมองเรื่องพลังงานทดแทนเป็นเรื่องที่ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
ส่วนตัวแล้วฉัน (ผู้เขียน) เชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู้พลังงานทดแทนใหม่ (หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้ใช้พลังงานจากฟอซซิล) จะไม่มีทางเกิดขึ้นตราบใดที่โลกยังไม่สามารถคิดนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกไปได้เลยจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นการเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ได้ยาวนานกว่านี้ ชาร์ตได้เร็วกว่านี้ อยู่ได้นานกว่านี้ อายุการใช้งานของรถหลังงานที่ชาร์จไปแล้วสามารถอยู่ได้นานกว่านี้ ใช้พื้นที่แบตเตอรี่บนตัวรถได้เล็กลงกว่านี้ ตราบใดที่ยังไม่มีนวัติกรรมเปลี่ยนโลก พลังงานจากฟอซซิลก็จะยังมีบทบาทสำคัญในการบริโภคและใช้เป็นพลังงานต่อไป
เป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้อุปสงค์น้ำมันดิบกำลังได้รับผลกระทบแต่ในไม่ช้าความต้องการนี้ก็จะฟื้นตัวเมื่อโลกสามารถก้าวออกจากยุคเศรษฐกิจถดถอยได้ ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่จะมาวาดหวังกับนวัติกรรมแต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องเอาตัวรอดจากภัยเศรษฐกิจซึ่งในแง่พลังงานตอนนี้มีอะไรที่ต้นทุนถูกและดีกว่าน้ำมันหรือก๊าซเชื้อเพลิงหรือไม่? คำตอบคือไม่มี
คำถามสำคัญคือว่า “แล้วเรื่องนี้มีความหมายกับนักลงทุนในตลาดน้ำมันอย่างไร?”
ประการแรก: เพื่อไม่ให้นักลงทุนตื่นเต้นมากเกินไปเมื่อได้ยินรายงานจากบริษัทพลังงานในยุโรปที่รายงานว่า “ความต้องการน้ำมันของโลกใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว (หรือผ่านมาแล้ว)” ยกตัวอย่างเช่นรายงานล่าสุดจาก BP ที่สำนักข่าวเอาไปอ้างอิงกันมากมายแต่โชคดีที่ตลาดน้ำมันไม่ตกหลุมพรางร่วงตามรายงานฉบับนี้
ประการที่สอง: นักลงทุนควรเข้าใจว่าภายในอนาคตอีก ห้า สิบ สิบห้าปีหรือมากกว่านั้นโลกอาจจะขาดแคลนน้ำมัน แม้คาบสมุทรอาหรับจะเป็นแหล่งพลังงานน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดขนาดไหนแต่หากจำนวนประชากรโลกยังเพิ่มขึ้นทุกปี ความต้องการ การบริโภคก็จะเพิ่มขึ้นจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกคนบนโลก
อย่างไรก็ตามก็ยังมีอีกหลายพื้นที่บนโลกที่จนถึงตอนนี้มนุษยชาติยังไปไม่ถึงซึ่งอาจจะมีแหล่งพลังงานน้ำมันที่ยังไม่ถูกค้นพบนอนรออยู่ แม้ว่าในปีนี้การเพิ่มพื้นที่สำรวจจะเป็นสิ่งที่บริษัทผู้ผลิตน้ำมันไม่พูดถึงกันเพราะต้องเอางบประมาณดังกล่าวมาพยุงบริษัทให้รอดจากโควิด-19 และปัญหาราคาน้ำมันดิบตกต้ำก่อน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนี่ก็เป็นเพียงปัญหาชั่วคราวและแม้ว่าโลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่ยุคน้ำมันขาดแคลน เชื่อได้เลยว่าคนในยุคนี้จะยังไม่ได้เห็นภาพนั้นภายในไม่กี่ปีนี้แน่นอน