ตลาดหุ้นและฟอเร็กซ์ถูกเทขายอย่างรุนแรงในช่วงเปิดตลาดซื้อขายของสหรัฐอเมริกาเมื่อวานนี้เพราะยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ในยุโรปเพิ่มสูงขึ้นจนสร้างสถิติใหม่ได้ สิ่งที่ทุกคนกลัวมากที่สุดในช่วงหน้าร้อนก็คือความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดรอบสองและข่าวร้ายก็คือความกลัวนั้นเหมือนจะกำลังเกิดขึ้นจริง ในวันศุกร์ที่ 18 กันยายนประเทศสเปนมีรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่ 14,389 รายในขณะที่ฝรั่งเศสมีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่ 13,498 รายเมื่อวันเสาร์ ด้วยจำนวนตัวเลขเหล่านี้ซึ่งสูงกว่ายอดผู้ติดเชื้อสูงสุดในช่วงเดือนมีนาคมทำให้รัฐต้องออกมาตรการคุมเข้มหลายชุดพร้อมกันในพื้นที่ยูโรโซน แม้แต่เยอรมันที่ยังไม่เห็นยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากนักก็ได้เพิ่มความรัดกุมในการบอกให้ประชาชนใส่หน้ากากเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดในมิวนิค สหราชอาณาจักรแม้ว่าตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อยังอยู่ต่ำกว่าช่วงที่มีการแพร่ระบาดรอบแรกแต่ผู้ติดเชื้อรายใหม่กำลังเพิ่มขึ้นทีละสองเท่าทุกวันจนหัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายวิทยาศาสตร์ของประเทศต้องออกมาเตือนว่าหากภาครัฐยังไม่ทำอะไรเรามีโอกาสจะได้เห็นผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละ 50,000 คนภายในช่วงกลางเดือนตุลาคม
ตัวเลข 50,000 คนต่อวันนี้ไม่ใช่ความเสี่ยงเฉพาะสหราชอาณาจักรแต่ยังรวมไปถึงประเทศอื่นๆ ในยุโรปด้วย ปัญหาก็คือว่าหากยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่สูงกว่าเดือนมีนาคม มาตรการที่ออกโดยภาครัฐจะต้องเข้มข้นมากกว่านี้และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนแต่ละคนมากกว่านี้ ยิ่งความเสี่ยงของการแพร่ระบาดสูงขึ้นเท่าไหร่ความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นมาตรการคุมเข้มทางสังคมก็ยิ่งมีมากขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับสกุลเงินยูโรและปอนด์สเตอร์ลิง ทั้งสองสกุลเงินต่างอ่อนมูลค่าและปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากเมื่อวานนี้และเราเชื่อว่าขาลงกราฟ อาจลงไปถึง 1.15 ได้ในขณะที่กราฟ อาจลงถึง 1.25
ประธานธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB) นางคริสตีน ลาการ์ดดูเหมือนว่าจะเป็นกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจในยุโรปอยู่เพราะเธอยังคงพูดถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวที่ดูแล้วช้ากว่าที่คาดการณ์และตัวเลือกที่ ECB มีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มในตอนนี้หากจำเป็น ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกกับนักลงทุนว่าอย่าดีใจกับขาขึ้นของสกุลเงินยูโรมากเกินไปซึ่งสิ่งที่เธอเป็นกังวลนั้นกำลังเป็นจริงจนทำให้คำพูดล่าสุดของเธอเปลี่ยนเป็น “ระมัดระวังการถือยูโรเอาไว้มากๆ” นี่คือการบอกถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในสกุลเงินยูโรและเปิดทางให้สกุลเงินอ่อนมูลค่าลง สำหรับสกุลเงินทั้งสองแล้วนอกจากยอดผู้ติดเชื้อในยุโรปที่ต้องจับตามองแล้วนักลงทุนอย่าลืมให้ความสำคัญกับการรายงานตัวเลขดัชนี PMI หากตัวเลขที่ออกมาลดลงจะส่งผลให้สกุลเงินทั้งสองยิ่งอ่อนมูลค่าลงด้วย
สกุลเงินกลับแข็งค่าขึ้นแม้ว่าข่าวฝั่งสหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่ข่าวดี การเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาประกอบกับข่าวผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ นายรูธ กินส์เบิร์ก ผู้ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเสียชีวิตยิ่งทำให้การเลือกตั้งหาเสียงร้อนระอุขึ้น ความไม่แน่นอนในช่วงของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ถือเป็นความเสี่ยงที่สูงมากในตลาดหุ้นและสกุลเงินเงิน ย้อนกลับไปในปี 2016 ตอนที่ผลสำรวจชี้ว่าฮิลลารี่ คลินตันยังมีคะแนนนำอยู่ ตลาดหุ้นในตอนนั้นก็อยู่ในแนวโน้มขาลงในขณะที่กราฟ EUR/USD และ วิ่งอยู่ในกรอบราคาแคบๆ ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าความผันผวนนี้จะกลับมาอีกครั้งในปี 2020 แต่มีความเป็นไปได้ที่จะรุนแรงขึ้นกว่าสี่ปีที่แล้วขึ้นอยู่กับว่าทรัมป์จะมีข่าวแปลกๆ ออกมาในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ต่อจากนี้หรือไม่ สัปดาห์นี้ไม่มีข่าวทางเศรษฐกิจสำคัญที่กระทบสกุลเงินดอลลาร์มากนัก ดังนั้นทิศทางของดอลลาร์ในสัปดาห์นี้จะขึ้นอยู่กับสามสิ่ง พาดหัวข่าวจากวอร์ชิงตัน คำให้การต่อสภาคอนเกรสของนายเจอโรม พาวเวลล์ประธานเฟดและทิศทางการวิ่งของตลาดหุ้นตลอดทั้งสัปดาห์
สกุลเงินที่พึ่งพามูลค่าจากสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลักก็ถูกเทขายเช่นกันนำโดย ในขณะที่ฝั่งยุโรปกำลังวิตกกังวลกับความเสี่ยงในการแพร่ระบาดรอบที่สองแต่นิวซีแลนด์ปลดทุกมาตรการคุมเข้มทางสังคมแล้วยกเว้นแต่เฉพาะเมืองโอ๊คแลนด์ แต่สาเหตุที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนมูลค่าลงเป็นเพราะนักลงทุนบางส่วนต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการประชุมของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ในสัปดาห์นี้ การประชุมของ RBNZ ครั้งล่าสุดมีการเปิดประเด็นถึงอัตราดอกเบี้ยติดลบและความกังวลของนักลงทุนว่าทั้งๆ ที่ประเทศไม่ได้มีปัญหาเรื่องโควิดรุนแรงขนาดนั้นแต่ทำไมถึงยกเรื่องอัตราดอกเบี้ยติดลบมาพูดถึงได้ ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศในตอนนี้คือความสัมพันธ์กับประเทศจีนที่แย่ลง บริษัทในประเทศจีนไม่ต้องการลงทุนกับออสเตรเลียเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงการติดตามบริษัทในประเทศออสเตรเลียผ่านระบบดาวเทียมได้ กราฟ สามารถขึ้นถึงจุดสูงสุดในรอบเดือนได้หลังจากที่ดอลลาร์แคนาดาอ่อนมูลค่าลง