ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: CQC
- วอร์เรน บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของบริษัทผลิตก๊าซธรรมชาติ ทองคำและบริษัทในประเทศญี่ปุ่น
- บัฟเฟตต์มองว่านโยบายอัตราเงินเฟ้อใหม่เป็นเรื่องที่ดีและปรับพอร์ตไปลงทุนในแร่โลหะมากขึ้น
- ธนาคารหนีจากการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
- ทิศทางขาขึ้นของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังรออยู่ข้างหน้า
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐวิ่งอยู่ในแนวโน้มขาลงมาตั้งแต่เดือนมีนาคมซึ่งมีสาเหตุมาจากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) เพื่อต่อสู้กับภัยเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ไม่ใช่แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เท่านั้นแต่ธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกต่างจำเป็นต้องยอมลดมูลค่าของสกุลเงินตัวเองลงเพื่อเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจเอาไว้ก่อนซึ่งในแถลงการณ์ของประธานเฟดนายเจอโรม พาวเวลล์ที่แจ็คสัน โฮลก็ถือเป็นครั้งแรกที่เฟดยอมปล่อยอัตราเงินเฟ้อให้สามารถขึ้นเกิน 2% ได้บ้างเป็นครั้งคราวซึ่งก่อนหน้านี้เฟดไม่เคยดำเนินนโยบายทางการเงินเช่นนี้เลย
วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนในตำนานที่นักลงทุนทั่วโลกต่างรู้จักกันดีได้มีการขยับปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนจนเป็นที่น่าสนใจสำหรับวงการ แทนที่เขาจะใช้หุ้นในมือที่มีเพื่อต่อรองผลประโยชน์แต่เขากลับเลือกที่จะให้บริษัทเบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (NYSE:BRKa) ขายหุ้นของสายการบินและธนาคารออกไป ที่น่าสนใจก็คือว่าเงินที่วอรร์เรนได้มาจากการขายหุ้นเหล่านี้ออกไปนั้นพ่อมดทางการเงินในวัย 90 ปีได้เอาไปซื้อสะสมสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการปรับนโยบายอัตราเงินเฟ้อเช่นสินทรัพย์ในกลุ่มพลังงาน แร่โลหะ และบริษัทในทวีปเอเชีย ในขณะเดียวกันสถาบันทางการเงินที่ปกติแล้วมักให้เงินสนับสนุนโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ต่างหอบเงินหนีออกจากธุรกิจเหล่านั้น
เมื่อตลาดลงทุนไม่ได้วิ่งอย่างที่ปกติเคยเป็นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น ทุกสัญญาณบ่งชี้ไปที่ความเป็นไปได้ที่ราคาสินทรัพย์ที่อยู่ในแร่โลหะมีโอกาสปรับตัวขึ้นภายในไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีข้างหน้า การตื่นตัวตามบัฟเฟตต์ของนักลงทุนเป็นเพียงสัญญาณการเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในตลาดลงทุนหลังจากปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกถูกท้าทายมากที่สุดว่ากำลังจะเริ่มต้นขึ้น
วอร์เรน บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของบริษัทผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ ทองคำและบริษัทในประเทศญี่ปุ่น
หลังจากที่บัฟเฟตต์ขายหุ้นของกลุ่มสายการบินและธนาคารออกไปแล้ว ข่าวแรกที่ออกมาจากบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทาเวย์คือการซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในกลุ่มพลังงานอย่างโดมิเนียน เอ็นเนอร์จี้ (NYSE:D) มูลค่าประมาณ $4,000 ล้านเหรียญสหรัฐและมีหนี้อยู่อีกประมาณ $6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ตอนนี้บัฟเฟตต์จะได้ส่วนแบ่ง 18% จากการซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างรัฐ การประกาศอย่างเป็นทางการนี้เริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมหลังจากที่ราคาก๊าซธรรมชาติร่วงลงไปยังจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1995
จากกราฟจะเห็นว่าราคาก๊าซธรรมชาติได้ปรับตัวลดลงไปยัง $1.1432 ต่อหนึ่งล้านบีทียูในช่วงปลายเดือนมิถุนายนซึ่งการเข้ามาของบัฟเฟตต์ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น การเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่งของบัฟเฟตต์เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเมื่อพ่อมดการเงินตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทบาร์ริค (NYSE:GOLD)ซึ่งเป็นบริษัทที่ครอบครองเหมืองทองและทองแดงใน 13 ประเทศทั่วโลก การตัดสินใจครั้งนี้ของปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะแม้แต่นักลงทุนทั่วไปก็ได้เห็นว่าราคาทองคำเป็นเช่นไรในปีนี้หลังจากที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการอ่อนมูลค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์ การเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจของเฟดด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการกระจุ้นทางเศรษฐกิจต่างๆ ไม่ใช่แค่กับดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นแต่สกุลเงินอื่นๆ ของโลกต่างอ่อนมูลค่าลงเมื่อเทียบกับราคาทองคำ
หลังจากการซื้อหุ้นของบริษัทเจ้าของเหมืองทองไม่นานในช่วงปลายเดือนสิงหาคมบัฟเฟตต์ก็ได้ฉลองวันเกิดครบรอบ 90 ปีของตัวเองด้วยการซื้อหุ้นของบริษัทห้าอันดับแรกที่มีการซื้อมากที่สุดในญี่ปุ่นอย่าง Itochu Corp. (T:8001), Marubeni Corp. (T:8002), Mitsubishi Corp. (T:8058), Mitsui & Co. (T:8031) และ Sumitomo Corp. (T:8053) ด้วยวงเงินมากกว่า $6,000 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นประมาณ 5% ของการถือหุ้นในบริษัทเหล่านี้ สาเหตุที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของบริษัทญี่ปุ่นเหล่านี้เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดแร่โลหะซึ่งเป็นไปตามแผนการเข้าซื้อสินทรัพย์สำรองปลอดภัยของบัฟเฟตต์ด้วย
บัฟเฟตต์มองว่านโยบายอัตราเงินเฟ้อใหม่เป็นเรื่องที่ดีและปรับพอร์ตไปลงทุนในแร่โลหะมากขึ้น
นอกเหนือจากการอ่อนมูลค่าลงของดอลลาร์เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วเฟดยังได้อนุญาตให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศสามารถขึ้นเกิน 2% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายของอัตราเงินเฟ้อได้บ้างเป็นครั้งคราว จากการลงความเห็นของคณะกรรมการผู้วางนโยบายการเงินในธนาคารกลางสหรัฐฯ เผยว่าในปีนี้คงต้องยอมให้อัตราเงินเฟ้อสามารถขึ้นไปได้ไม่เกิน 2.5% บ้างหลังจากที่เข้มงวดมานานและไม่เคยปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อขึ้นเกินกว่า 2% เลยนับตั้งแต่ปี 1970
นอกจากนี้สาเหตุของการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับแร่โลหะของบัฟเฟตต์เกิดขึ้นจากการเห็นราคาสินทรัพย์ในตลาดโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างปี 2008 จนถึงปี 2011 หลังจากตอนที่เกิดวิกฤตการเงินปี 2008 ราคาสินทรัพย์สำรองก็สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลได้ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการเพิ่มสภาพคล่องอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ ในปี 2008 ตอนนี้กระทรวงการคลังได้ยืมเงินมาจำนวน $530,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและครั้งนี้ในปี 2020 ได้ยืมเงินมาแล้วทั้งสิ้น $3,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ธนาคารหนีจากการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
จากสถานการณ์ทางการเงินที่เอื้อให้กับอัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวสูงขึ้นจึงทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งที่เคยสนับสนุนการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ตัดสินใจดึงเงินกลับออกมาจากธุรกิจเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัท ABN AMRO Group NV (AS:ABNd) และ BNP Paribas (OTC:BNPQY) ประกาศหยุดให้การสนับสนุนธุรกิจประเภทนี้ นอกจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นแล้วกฏหมายที่เข้มงวดมากขึ้นก็มีส่วนให้สถาบันการเงินตัดสินใจลดความเสี่ยงที่มีในมือลง
เมื่อไม่มีสถาบันการเงินรายใหญ่คอยให้การสนับสนุน บริษัทผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์จำเป็นจะต้องหาเงินทุนเอาเองเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนปกติซึ่งนั่นอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผลิตและทำให้มูลค่าของสินค้าโภคภัณฑ์มีราคาที่สูงขึ้น
ขาขึ้นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังรออยู่ข้างหน้า
ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภทปรับตัวขึ้นในปี 2020 ในช่วงต้นปีหากยังจำกันได้ราคาน้ำมันดิบเคยลงไปจนอยู่ในระดับติดลบก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมายัง $40 และปัจจุบันก็ได้ปรับตัวลดลงอีกครั้ง ราคาทองแดงปรับตัวขึ้นจาก $2 เป็น $3 ต่อปอนด์ ราคาของแร่เงินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านับตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคม ราคาทองคำยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะโดดเด่นที่สุดมากกว่าใครเพื่อนเมื่อสามารถวิ่งขึ้นไปเกิน $2000 ต่อออนซ์ได้และล้มแชมป์สุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อปี 2011 ได้เป็นที่เรียบร้อย ราคาธัญพืชปรับตัวขึ้นและล่าสุดคือราคาก๊าซธรรมชาติขึ้นจากจุดต่ำสุดในรอบ 25 ปีขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดล่าสุดใหม่ได้ในปี 2020 หลังจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ก้าวเข้ามาในวงการ
สรุปสั้นๆ ก็คือในเมื่อราคาทองคำสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่เกิน $2,000 ได้แล้วและพ่อมดการเงินผู้เป็นตำนานของนักลงทุนยังตัดสินใจเข้าสู่ตลาดก๊าซธรรมชาติและเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทเหมืองทองคำจะมีคำตอบไหนชัดเจนไปมากกว่านี้อีกว่าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังจะปรับตัวสูงขึ้นในไม่ช้านี้