เดินหน้าเร่งใช้งบปี 63 งบประมาณปี 2563 ถูกจัดสรรให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทรวม 1.61 แสนลบ. จาก 1.64 แสน ลบ. ในงบประมาณปี 2562 ลดลงเล็กน้อย 2% YoY แต่ระยะเวลาการใช้งบประมาณปี 2563 มีเพียง 2 ไตร มาส จากปกติ 3 ไตรมาส โดยกรมทางหลวงได้ลงทุนก่อสร้างและปรับปรุงโครงข่ายใหม่ ปัจจุบัน มีโครงการ ที่แล้วเสร็จ 1 โครงการ คือ ทางยกระดับบางปะอิน ระยะทาง 4.5 กม. มูลค่าการก่อสร้าง 300 ลบ. ซึ่งจะ เปิดให้บริการ 31 ส.ค. 63 นี้นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงทางคู่ขนานถนนวงแหวนรอบนอก (ตะวันตก) ซึ่งจะทยอยสร้างเสร็จในปี 2564 เป็นระยะทาง 42 กม. มูลค่าการก่อสร้าง 4.7 พันลบ. โครงการก่อสร้าง ด้านนอกวงแหวนตะวันตก (ได้รับงบประมาณปี 2563) เป็นระยะทาง 42 กม. มูลค่าการก่อสร้าง 3.8 พัน ลบ. ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จภายในปี 2565 ส่วนในปี 2564 จะมีการก่อสร้างอื่นๆ วงเงินรวมกันอีกไม่ต ่ากว่า 5.7 พันลบ. ล้วนเป็นปัจจัยการกระตุ้นใช้ยางมะตอยหนุนทั้งปริมาณและราคาขาย
ดีมานดเ์ด่น ราคาขายสูง ต้นทุนต่ำ คาดกำไรปกติใน 2H63 จะเติบโต HoH โดยเฉพาะใน 3Q63 ซึ่งเป็นไตรมาสแรกที่ทั้งในและต่างประเทศ กลับมาดำเนินงานปกติ โดยคำสั่งซื้อในประเทศได้ปัจจัยหนุนจากการเร่งใช้งบประมาณส่วนที่เหลือของปี 2563 ส่วนคำสั่งซื้อในต่างประเทศที่เลื่อนออกไปในช่วงเกิดโรคระบาด COVID – 19 จะทยอยกลับเข้ามา เป็นปกติรวมทั้งเป็นช่วง High season ของประเทศจีนและเวียดนาม มี Upside จากเหตุการณ์น้ำท่วมใน จีนที่อาจส่งผลให้มียอดขายยางมะตอยเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบันราคาขายยางมะตอยยังคงยืนเหนือ US$300/ตัน สะท้อน Demand ที่กลับมาทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ Supply บางส่วนหายไปจากการลด กำลังการผลิตของโรงกลั่นในภูมิภาคและ IMO แม้สถานการณ์โรคระบาด COVID – 19 จะดีขึ้นแต่โรงกลั่น ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้มากเท่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดทำให้ผลผลิตยางมะตอยลดลง ส่วน กำไรปกติใน 4Q63 คาดจะชะลอลง QoQ เพราะเป็นช่วง Low season ในตลาดต่างประเทศยกเว้นประเทศ อินโดนีเซีย ที่จะเป็นช่วง Working season ในไตรมาส 4อีกทั้งการอนุมัติงบประมาณปี 2564 จะเป็นปัจจัย หนุนคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แม้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจาก US$30/Barrel ในช่วง 2Q63 เป็น US$40/Barrel ในปัจจุบัน แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบเมื่อต้นปีอยู่ที่ US$50-60/Barrel ทำให้บริษัทมีต้นทุนการผลิตต่ำช่วยหนุน GPM และ 3Q63 เป็นอีกไตรมาสที่อาจะมีกำไรจากสต๊อกมา
ปรับราคาเป้าหมายเป็นสนิ้ ปี2564 พร้อมปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ ” เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2563 – 2564 ที่ 2,024 ลบ. และ 3,008 ลบ. ชะลอลง 17.5%YoY ในปี 2563 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโรคระบาด COVID – 19 แต่กลับมาเติบโต 48.6% ในปี 2564 จากการ กลับมาดำเนินงานตามปกติของภาคธุรกิจเต็มปี เราปรับไปใช้ราคาเหมาะสมเป็น สิ้นปี2564 ได้ราคา เหมาะสมที่ 31.00 บาทต่อหุ้น อิง PER ที่ 16.4x (+1.0SD) มี Upside gain สูงถึง 25.0% จึงปรับ คำแนะนา ขึ้น จาก “TRADING” เป็น “ซื้อ ” ในระยะยาว ได้ประโยชน์จากมาตรการ IMO2020 ซึ่งจะช่วย หนุนราคาขาย ขณะที่หากราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับต่ำจะทำให้ TASCO มีต้นทุนการผลิตที่ถูก
อีกทั้ง บริษัทยังต่อสัญญาการเช่า Floating storage อีกขนาด 1.8 ล้านบาร์เรลไปจนถึงเดือน ก.พ. 64 เพื่อเก็บ น้ำมันต้นทุนต่ำและมีถังน้ำมันดิบที่กลับมาใช้งานได้ตามปกติภายหลังจากได้รับความเสียหายไฟไหม้ในปี 2561 อีกขนาด 2.3 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้ปัจจุบัน มีความสามารถจุน้ำมันได้ถึง 4.1 ล้านบาร์เรลและมี Capacity สามารถผลิตได้ถึง 1Q64 แล้ว นอกจากนี้อยู่ระหว่างศึกษาแหล่งผลิตน้ำมันที่อื่น แม้จะได้ Yield ที่น้อยกว่าจากแหล่งผลิตปัจจุบัน แต่จะช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพิง Supplier เพียงแหล่งเดียว
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities