นักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่าการรายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ จบลงไปแล้วหลังจากได้ทราบตัวเลขของบริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม FANGMAN สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากจากการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2020 คือการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดโดยสิ่งที่แทบจะทุกบริษัทในกลุ่ม FANGMAN มีเลยคือเทคโนโลยีบนระบบคลาวด์
จากรายงานของกองทุน ETF ซึ่งลงทุนกับบริษัทที่เน้นทำซอฟต์แวร์เกี่ยวกับคลาวด์ระบุว่ามีคำสั่งซื้อขายวนอยู่ในหุ้นกลุ่มนี้มากที่สุดเป็นสถิติ ราคากราฟของ First Trust Cloud Computing ETF (NASDAQ:SKYY) และ Global X Cloud Computing ETF (NASDAQ:CLOU) เพิ่มขึ้นประมาณ 76% และ 84% ตามลำดับมาตั้งแต่จุดต่้ำสุดของเดือนมีนาคมสะท้อนให้เห็นการเติบโตของความต้องการระบบคลาวด์และการมุ่งหน้าเข้าสู่โลกดิจิทัลหลังยุคโควิด-19 อย่างเต็มตัว
ในบทความนี้เราจะพาไปดูบริษัทที่อยู่ในวงการสร้างผลิตภัณฑ์บนระบบคลาวด์ที่พึ่งจะรายงานผลประกอบการและยังไม่ได้รายงานผลประกอบการ ถึงแม้จะไม่ได้ดูในสายตาของนักลงทุนส่วนใหญ่แต่ก็ถือว่าเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตได้ในอนาคต
1. Splunk (รายงานผลประกอบการไปแล้วเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด)
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหุ้นของ Splunk (NASDAQ:SPLK) สร้างขาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดกลางเดือนมีนาคมได้อย่างโดดเด่นด้วยตัวเลขการฟื้นตัว 117% ด้วยสาเหตุคือนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลในยุคต่อจากนี้จะต้องอยู่บนระบบคลาวด์ทั้งหมด
ล่าสุดหุ้นของ Splunk มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $216.67 ลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $217.33 ที่ขึ้นไปสร้างเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญบริษัท Splunk ยังได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีการเติบโตของมูลค่าตลาดเร็วที่สุดจนตอนนี้มีมูลค่าอยู่ที่ $32,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามรายงานผลประกอบการของ Splunk ในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ต้องทำให้นักลงทุนผิดหวังเมื่อรายงานตัวเลขผลกำไรที่ออกมาทำได้เพียง $491.66 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่ตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์มองเอาไว้ที่ $520.98 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ลดลงตามคาดเหลือ $0.33 ซึ่งยังถือว่ามากกว่า $0.30 ที่เป็นตัวเลขในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019
2. Okta (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 สิงหาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด)
หุ้นของบริษัท Okta (NASDAQ:OKTA) ปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมมากถึง 2 เท่าหรือคิดเป็นตัวเลข 136% ซึ่งส่วนสำคัญในการเร่งอัตราการเติบโตครั้งนี้มาจากความต้องแพลตฟอร์มที่สามารถเป็นตัวกลางระหว่างลูกจ้างกับลูกค้าและยังมีระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์บนคลาวด์รองรับ
หุ้น Okta มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $224.04 โดยที่กราฟสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $226.87 ได้ในวันที่ 5 สิงหาคม มีมูลค่าตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $26,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในไตรมาสที่แล้วบริษัท Okta สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการไปได้ ดังนั้นในไตรมาสนี้นักวิเคราะห์จึงต้องการเห็นตัวเลขผลกำไรเพิ่มขึ้น 32% จากตัวเลข $186.26 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเป็นตัวเลขผลกำไรในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 แม้ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะออกมาอยู่ที่ $0.02 ต่อหุ้น ลดลงจากตัวเลข $0.05 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วก็ตาม
จากความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยบนระบบคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนจะไปจับตาดูตัวเลขกำไรที่มาจากสมาชิกซึ่งมีชื่ออยู่ในซอฟต์แวร์ของบริษัทด้วย ในส่วนนี้นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจะเติบโตขึ้นกว่าเดิม 48% จากไตรมาสที่แล้วหรือคิดเป็นตัวเลข $173.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกเหนือจากการรายงานตัวเลขผลประกอบการและการปันผลกำไรต่อหุ้นแล้ว บริษัท Okta จะอัปเดตภาพรวมและความเห็นที่มีต่อทิศทางการเดินไปสู่อนาคตที่เหลือในปี 2020 ในไตรมาสที่แล้ว Okta ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการตลอดทั้งปีขึ้นอยู่ในกรอบตัวเลขระหว่าง $770-$780 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นการเติบโตแบบปีต่อปี 31%-33%
3. Workday (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 สิงหาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด)
Workday (NASDAQ:WDAY) เป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านการจัดการระบบการเงินและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้วยระบบซอฟต์แวร์ หากนับจากจุดต่ำสุดในช่วงเดือนมีนาคมขึ้นมาจนถึงปัจจุบันพบว่าหุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นมาแล้ว 80% นักวิเคราะห์บางคนถึงกับยก Workday ขึ้นไปเปรียบเทียบกับบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Microsoft (NASDAQ:MSFT) หรือ Salesforce (NYSE:CRM) เลยทีเดียว
หุ้นของ Workday มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $213.45 พึ่งขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ ณ $214.93 เมื่อคืนนี้ ปัจจุบันบริษัท Workday มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $45,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถึงแม้ว่าในไตรมาสแรกผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 จะไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้แต่ตัวเลขผลกำไรยังสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์มาได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับไตรมาสนี้นักลงทุนหวังจะได้เห็นตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นแบบปีต่อปีเพิ่มขึ้น 50% หรือคิดเป็น $0.66 ต่อหุ้นและมีตัวเลขผลกำไรเพิ่มขึ้น 17% เป็น $1,040 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019
จากสาเหตุที่โควิด-19 เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้ระบบเศรษฐกิจยุคเก่าจึงทำให้คนคาดหวังกับการเติบโตในโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นในทุกๆ ด้านซึ่งรวมถึงการจัดการทางด้านการเงินและทรัพยากรมนุษย์อีกด้วย นอกจากนี้นักลงทุนจะรอดูตัวเลขกำไรที่ได้จากค่าสมัครเป็นสมาชิกในระบบของบริษัทซึ่งถือเป็น 85% ของรายได้ของบริษัททั้งหมด ในไตรมาสที่แล้วตัวเลขในส่วนนี้แบบปีต่อปีเพิ่มขึ้น 25.8% คิดเป็นตัวเลข $882 ล้านเหรียญสหรัฐ