ขอขอบคุณภาพประกอบจาก CQG
- ราคาของแร่เงินนั้นผันผวนมากกว่าทองคำ
- ในที่สุดกราฟแร่เงินก็สามารถเจาะแนวต้านทางเทคนิคขึ้นไปได้
- โอกาสที่แร่เงินจะขึ้นไปยังแนวต้านถัดไปยังคงเปิดกว้าง
- แร่เงินกำลังมุ่งหน้าขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่
หมายเหตุ: คำว่า “เงิน” ในบทความนี้หมายถึง “แร่เงิน”
จากสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจเพราะไวรัสโรคระบาดทำให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็นตลาดที่คึกคักมากในปีนี้ นอกจากราคาทองคำที่สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือ $2000 ได้แล้ว เงินในปี 2020 ก็มีความผันผวนไม่แพ้กัน ระหว่างปี 2019 สัญญาซื้อขายเงินในตลาดล่วงหน้า COMEX เคยมีกรอบราคาซื้อขายอยู่ที่ $5.295 ปี 2018 เคยมีกรอบราคาซื้อขายอยู่ที่ $3.845 ในปี 2017 มีกรอบอยู่ที่ $3.505 แต่ในปี 2016 กลับเคยมีกรอบราคาซื้อขายอยู่ที่ $7.365 ซึ่งในปีนั้นราคาของเงินสามารถขึ้นยืนเหนือ $21 ได้
ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2020 ราคาเงินเคยลงไปสร้างจุดต่ำสุดอยู่ที่ $11.74 ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 11 ปี จากนั้นเงินก็วิ่งขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $29.915 ซึ่งถือเป็นจุดสูงที่สุดในรอบ 7 ปี กรอบการวิ่งของราคาโดยเฉลี่ยตลอด 6 เดือนล่าสุดจึงอยู่ที่ $18.175 ซึ่งถือว่าเป็นกรอบการวิ่งที่กว้างที่สุดของแร่โลหะสีขาวนี้มาตั้งแต่ปี 2011 อนึ่ง ในปี 1980 เงินเคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $49.82 ต่อออนซ์
ในกรอบเวลาที่ไล่เลี่ยกันราคาทองคำสามารถขึ้นยืนเหนือแนวต้านสำคัญ $1,377.50 ต่อออนซ์ที่สร้างขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2016 ได้ในเดือนมิถุนายนปี 2019 ซึ่งหลังจากนั้นอีก 13 เดือนราคาของเงินก็สามารถขึ้นยืนเหนือจุดสูงสุดของปี 2016 ได้สำเร็จ จากข้อมูลที่กล่าวมานี้ชี้ให้เห็นว่าการทะลุแนวต้านของเงินถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ควรค่าแก่การจับตาดูไม่แพ้ทองคำเลยและการที่เงินมีราคาซื้อขายอยู่ต่ำกว่า $27 เพียงเล็กน้่อยยิ่งเปิดโอกาสให้ราคาเงินสามารถปรับตัวขึ้นมากกว่าที่จะลงไปหาจุดต่ำสุดของปี 2020
สำหรับนักลงทุนแล้วเงินถือเป็นแร่ที่มีความสัมพันธ์กับนักลงทุนสายเก็งกำไรเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่วิ่งตามมูลค่าของสินทรัพย์สำรองอื่นๆ มาโดยตลอด หากพิจารณากราฟเงินกับทองคำในตอนนี้จะเห็นว่าลักษณะและการปรับฐานมีความคล้ายคลึงกันมาก ดังนั้นเงินจึงเป็นตลาดที่ไม่ควรมองข้ามและตอนนี้ก็กำลังอยู่ในจุดที่ใกล้ความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวขึ้นต่อสูงที่สุด
ราคาของแร่เงินนั้นผันผวนมากกว่าทองคำ
ทองคำเปรียบเสมือนพระอาทิตย์ฉันใดเงินก็เปรียบเสมือนพระจันทร์ฉันนั้น แม้ทองคำจะเป็นสินทรัพย์สำหรับการลงทุนที่น่าดึงดูดแต่เงินก็มีความได้เปรียบจากเหล่านักเก็งกำไรไม่น้อย เมื่อกราฟราคาของเงินเริ่มที่จะตั้งเทรนด์ได้ ความสนใจของนักเก็งกำไรในเงินก็เพิ่มสูงขึ้น จากกราฟการซื้อขายเงินในตลาดการซื้อขายล่วงหน้าระยะยาวพบว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าทองคำ
กราฟวัดความผันผวนรายไตรมาสของเงินที่วัดมาจนถึงสัปดาห์ที่แล้วมีตัวเลขอยู่ที่ 38.1%
จากกราฟรายไตรมาสยังแสดงให้เห็นอีกว่าค่าความต่างความผันผวนระหว่างทองคำกับเงินต่างกันอยู่ที่ 12.26%
กราฟวัดความผันผวนรายวันของทองคำที่วัดมาจนถึงสัปดาห์ที่แล้วมีตัวเลขอยู่ที่ 39.03%
จากการเปรียบเทียบของทั้งสองตลาดจะเห็นได้ว่ากรอบการวิ่งของเงินนั้นมีความกว้างมากกว่าทองคำ ราคาทองคำมีกรอบการวิ่งอยู่ที่ $612.10 หรือคิดเป็น 42.2% ในขณะที่เงินมีกรอบการวิ่งอยู่ที่ $18.175 หรือคิดเป็น 155%
ในที่สุดกราฟแร่เงินก็สามารถเจาะแนวต้านทางเทคนิคขึ้นไปได้
ก่อนหน้านี้ราคาทองคำเคยทะลุแนวต้านสำคัณที่ $1,377.50 ได้เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2019 และอีก 14 เดือนต่อมาราคาทองคำก็ได้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่เอาไว้ที่ $2,063 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นตลอดเดือนสิงหาคมนี้ 48%
จากกราฟเงินรายเดือนด้านบนแสดงให้เห็นว่าเงินต้องรอจนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2020 จึงจะสามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ $21.095 ของปี 2016 ขึ้นไปได้และการขึ้นถึง $29.915 เมื่อเดือนที่แล้วคิดเป็นขาขึ้น 41.8% จากจุดสูงสุดเดิมในปี 2016 ก่อนหน้านี้เงินเคยลงไปสร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ที่ $11.74 ในเดือนมีนาคมและใช้เวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้นในการขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี
โอกาสที่แร่เงินจะขึ้นไปยังแนวต้านถัดไปยังคงเปิดกว้าง
เมื่อพิจารณากราฟซื้อขายเงินในตลาดล่วงหน้า COMEX พบว่ากราฟมีแนวรับอยู่ที่ $21.095 ต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านหากมองเหนือจุดสูงสุดล่าสุดที่อยู่ต่ำกว่า $30 ต่อออนซ์ขึ้นไปแล้วจะเจอแนวต้านแรกอยู่ที่ $35.445 ต่อออนซ์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเดือนตุลาคมปี 2012 แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ $37.48 จุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 และ $44.275 จุดสูงสุดในเดือนสิงหาคมปี 2011
ยังไม่หมดแค่นั้นยังมีแนวต้านถัดขึ้นไปอีกอยู่ที่ $49.82 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเดือนมีนาคมปี 2011 และแนวต้านสุดท้ายจะอยู่ที่ $50.36 หรือจุดสูงสุดตลอดกาลของเงินที่เกิดขึ้นในปี 1980
กราฟซื้อขายเงินล่วงหน้าในตลาด COMEX แบบครึ่งปีแสดงให้เห็นถึงตัวเลขจำนวนรวมคำสั่งซื้อขายในตลาดเงินทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขาย จากข้อมูลเราพบว่าตั้งแต่ 4 ทศวรรษล่าสุดจำนวนรวมนี้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคง นอกจากนี้เรายังพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของสัญญาการลงทุนกับเงินในกองทุน ETF และ ETN ที่อนุญาตให้นักลงทุนถือเงินได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนกลับเป็นแร่เงินจริงๆ
แร่เงินกำลังมุ่งหน้าขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่
สภาพแวดล้อมในตลาดลงทุนตอนนี้เอื้อต่อการขึ้นต่อของเงินเป็นอย่างมากแม้ว่าก่อนหน้านี้ราคาเงินจะขึ้นมาอย่างมหาศาลแล้วตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคมมาจนถึงสิงหาคม อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกถูกปรับลงมาจนเกือบเป็น 0% ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในยุโรปและญี่ปุ่นอยู่ในโซนติดลบ แม้แต่อัตราดอกเบี้ยปล่อยกู้ระหว่างธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่ก่อนหน้านี้ขึ้นมา 2.5% ในระหว่างปี 2016-2018 ก็กลับลงสู่ตัวเลข 0%
ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศแล้วว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ประมาณ 0% - 0.25% ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2022 ในขณะเดียวกันเฟดก็ทำ QE เพื่ออัดเงินเข้าไปเพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนทำให้ดัชนีหลักๆ อย่าง S&P 500 และ NASDAQ ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลราวกับว่าเศรษฐกิจปกติดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การลดอัตราดอกเบี้ยเฟดทำให้นักลงทุนบางส่วนที่เชื่อในภาพมายาขาขึ้นของตลาดหุ้นและออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ไปซึ่งในขณะเดียวกันนั้นการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบก็ทำให้มูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ลดลงและมีโอกาสที่จะถุูกลดมูลค่าลงไปมากกว่านี้อีกหากว่าเฟดมีความจำเป็นต้องพิมพ์เงินออกมาเพิ่มเพื่อสู้กับโควิด-19 อย่างที่เรารู้กันว่ายิ่งดอลลาร์อ่อนค่าลงมากเท่าไหร่สินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นแร่โลหะมีค่าก็ยิ่งมีโอกาสปรับตัวขึ้นมากเท่านั้น
กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐรายสัปดาห์แสดงให้เห็นการร่วงลงจากจุดสูงสุดในรอบ 18 ปีที่ 103.96 ลงมายังจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีที่ 92.11 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การลงมา 11.4% ของดัชนีดอลลาร์สหรัฐคืออีกปัจจัยหนึ่งที่จะหนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้
ดังนั้นส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่ากรอบการวิ่งของราคาเงินจะยังคงเปิดกว้างต่อไป การวิ่งลงมาหรือการพักตัวใดๆ ก็ตามถือเป็นจุดให้นักลงทุนสามารถเข้าถือเงินได้ตามอัธยาศัย ตอนนี้กราฟเงินกำลังอยู่บนเส้นทางการวิ่งขึ้นไปหาจุดสูงสุดของปี 2011 และการกลับขึ้นหาจุดสูงสุดตลอดกาลในปี 1980 ที่สำคัญผมยังเชื่อว่าในไม่ช้าเราจะได้เห็นราคาเงินอยู่ที่ $50 ตราบใดที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่มีความแน่นอนอยู่เช่นนี้