ประกาศเพิ่มทุน 83 ล้านหุ้น (BK:AMATA) ประกาศเพิ่มทุนจำนวน 83 ล้านหุ้น ขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) ในสัดส่วน 12.8554217 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ สำหรับราคาขายจะกำหนดจากกราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นของบริษัทในช่วงเวลาตั้งแต่ 7 - 15 วัน ที่มีการซื้อขายติดต่อกันก่อนหน้าวันที่มีการกำหนดราคาเสนอขาย (ไม่เกินวันที่ 21 ก.ย.) หักด้วยส่วนลดจำนวนไม่เกิน 20% ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมสามารถ จองซื้อเกินสิทธิที่ได้รับได้ โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR วันที่ 18 ก.ย. และ กำหนดชำระค่าหุ้น 9 -16 ต.ค. นอกเหนือจากการประกาศเพิ่มทุนแล้วยังมีการลงทุนใน บ. AMATA Sino Development จำกัด ร่วมกับทางบ. Sinotech Engineering Consultants จำกัดเพื่อพัฒนานิคม AMATA ชลบุรีให้เป็นนิคมอัจฉริยะเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต (AMATA ถือหุ้นสัดส่วน 80 %)
นำเงินที่ได้ไปลงทุนนิคมที่พม่า
วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนครั้งนี้ ทาง AMATA จะใช้สำหรับโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอมตะย่างกุ้งในช่วงที่ 1 (Yangon Amata Smart & Eco City) ที่มีพื้นที่ทั้งสิ้น 2,000 เอเคอร์ (ประมาณ 5,060 ไร่) โดยจะใช้เงินลงทุนทั้งหมด ประมาณ 162 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5,022 ลบ.) ทั้งนี้ ในช่วงแรกจะ ทยอยแบ่งพื้นที่มาพัฒนาจำนวน 200 เอเคอร์ (ประมาณ 506 ไร่) ก่อน ใช้เงินประมาณ 41.54 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (พัฒนาภายในสิ้นปี 21) โดยเจ้าของนิคมดังกล่าวคือ Yangon Amata Smart and Eco City Limited (YASEC) ที่ AMATA ถือหุ้นผ่านบริษัทลูกในสัดส่วน 80% (จะใช้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ ประมาณ 16.18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 502 ลบ. เป็นเงินเพิ่มทุนใน บริษัท YASEC) ซึ่งนิคมดังกล่าวได้ทำสัญญาเช่าระยะยาวกับหน่วยงานรัฐบาลพม่าเป็นเวลา 50 ปี (และมีสิทธิต่ออายุอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปี รวมเป็น 70 ปี) คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวในช่วง 3Q21 เป็นต้นไป AMATA มองว่าด้วยเป็นโครงการที่ลงทุนร่วมกับรัฐบาลพม่า ทำให้มีความได้เปรียบในการเข้าไปพัฒนาโครงการและการหาลูกค้าจากต่างประเทศ (แต่ในแง่รายได้ที่จะเข้ามายัง AMATA เองอาจจะไม่มากนักเพราะเป็นการทยอยรับรู้รายได้ตามอายุสัญญาเช่า)
มองการเพิ่มทุนครั้งนี้ไม่มีผลกระทบมากนัก ยังคงคำแนะนำเดิม
การเพิ่มทุนครั้งนี้ ในแง่ผลกระทบกับราคาหุ้นในตลาดคาดว่าจะไม่มากนัก เนื่องจากจำนวนหุ้นเพิ่มทุนค่อนข้างต่ำ (8% ของทุนจดทะเบียนเดิมเท่านั้น) ส่วนนิคมที่พม่าถือเป็นโอกาสที่ดีในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศเป็นแห่งที่ 2 ต่อจากที่เวียดนาม แต่ผลตอบแทนยังต้องรอติดตามอีกครั้งว่าจะเป็นเช่นใด เนื่องจากยังต้องใช้เวลาพัฒนาระบบสาธารณูปโภคอีกกว่า 1 ปี ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะกระทบกับการลงทุนยังคงต้องติดตามเรื่องการขายที่ดินในประเทศไทยเป็นหลัก โดยผลประกอบการในช่วง 2Q20 เบื้องต้นอาจจะไม่ดีนักเพราะนักลงทุนจากต่างประเทศไม่สามารถเดินทางมาไทยได้ ทำให้ต้องไปลุ้นในช่วง 2H20 แทน (เราคาดกำไรทั้งปี 20 ไว้ที่ 1,304 ลบ.) รวมแล้วจากการขยายการลงทุนไปพม่าที่จะเป็นผลดีในอนาคตเราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร ” และ ประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 17 บาท (1 5XPER’20E) โดยรวมหุ้นเพิ่มทุนแล้ว
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th