แม้จะต้องเผชิญกับตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิดในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่นักลงทุนก็ยังเชื่อว่ารายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 จะสามารถช่วยลดผลกระทบจากข่าวโควิดและพยุงตลาดหุ้นไม่ให้ทรุดลงไปตามความน่ากลัวของข่าวได้ ในสัปดาห์นี้เริ่มเป็นคิวของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและการบริโภคแล้ว ดัชนี S&P 500 สามารถสร้างสถิติปิดบวกได้เป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคมและเราก็ได้นำ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้มาให้ผู้อ่านได้พิจารณากันเช่นเคย
1. Tesla (NASDAQ:TSLA)
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคตเทสลา (NASDAQ:TSLA) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในวันพุธที่ 22 กรกฏาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าเทสลาจะมีรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $0.14 และมียอดขายรวมอยู่ที่ $5,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
สิ่งที่ผู้ถือหุ้นเทสลาคาดหวังในเวลานี้คือรายงานตัวเลขผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกิดคาดหลังจากที่ได้เห็นหุ้นเทสลาทะยานขึ้นเป็นอย่างมากในไตรมาสที่ 2 ตลอดระยเวลา 12 เดือนล่าสุดหุ้นเทสลาขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 259% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $1,500.84 และกราฟราคาขึ้นมาแล้ว 5 เท่านับจากจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคม
หลังจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสามารถทำสถิติเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการได้สามไตรมาสติดยิ่งทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่เทสลากำลังจะถูกลิสต์ขึ้น S&P 500 ยิ่งทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในตัวเทสลา
ขาขึ้นครั้งล่าสุดทำให้เทสลามีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า $278,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าบริษัทรถยนต์ชื่อดังอย่าง Ford (NYSE:F), General Motors (NYSE:NYSE:GM) และ Fiat Chrysler (NYSE:FCAU) รวมกัน
2. Microsoft
บริษัทผู้สร้างระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นที่ใช้งานแพร่หลายทั่วโลกอย่างไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) จะรายงานผลประกอบการปีบัญชีไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันพุธหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดเช่นเดียวกันกับเทสลา นักวิเคราะห์คาดว่าไมโครซอฟท์จะมีรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $1.38 และมียอดขายรวมอยู่ที่ $36,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
หากว่าผลการดำเนินงานในอดีตสามารถบอกถึงการเติบโตของบริษัทในอนาคตได้ ผลประกอบการของไมโครซอฟท์ในรอบนี้ก็คงจะออกมาเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะการเข้ามาของโควิดทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจลงทุนในเทคโนโลยีไมโครซอฟท์มากขึ้นและด้วยความแข็งแกร่งนี้จึงทำให้ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นไมโครซอฟท์สามารถปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 30% ล่าสุดราคาปิดของหุ้นไมโครซอฟท์อยู่ที่ $202.88
พูดถึงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแต่เจ้าเชื้อไวรัสนี้ก็ทำให้มนุษยชาติต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตไปสู่โลกออนไลน์มากขึ้น นั่นคือซึ่งที่ CEO ของไมโครซอฟท์คุณสัตยา นาเดลลามองเห็นและพยายามเปลี่ยนแปลงไมโครซอฟท์มาโดยตลาดและวันนี้วิสัยทัศน์นั้นก็กลายเป็นจริง เมื่อผู้คนต้องทำงานอยู่แต่ที่บ้านและต้องทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต พวกเขาหันไปมองหาผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์และสิ่งนี้เองที่ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าตัวเลขผลประกอบการในวันพุธนี้จะต้องออกมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“แผนธุรกิจที่มั่นคง การกระจายความเสี่ยงที่มีหลักการและความแตกต่างด้านการพัฒนาเทคโนโลยีคือสิ่งที่ทำให้บริษัทไมโครซอฟท์นำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ” CEO ของไมโครซอฟท์กล่าวในการรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน
3. Intel
บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์อินเทล (NASDAQ:INTC) กลายมาเป็นที่จับตามองของนักลงทุนอีกครั้งเมื่อบริษัทต้องรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดในวันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฏาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าอินเทลจะมีรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $1.11 และมียอดขายรวมอยู่ที่ $18,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
อินเทลซึ่งเป็นบริษัทที่มียอดขายชิปคอมพิวเตอร์สูงที่สุดของสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากความต้องการชิปคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปใช้ทำศูนย์กลางข้อมูลมากขึ้น ความต้องการนี้มาก่อนที่โควิดจะเริ่มระบาดในสหรัฐฯ เสียอีกและเมื่อโควิดมาถึงชิปคอมฯ ของอินเทลยิ่งกลายเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ในไตรมาสที่ 1 ยอดขายของอินเทลเพิ่มขึ้น 23% ถึงกระนั้นอินเทลก็ยังถ่อมตนและเคยออกมาคาดการณ์เมื่อเดือนเมษายนว่ายอดขายตลอดทั้งปี 2020 ของบริษัทจะลดลงเพราะโควิด-19 ทำให้เศรษกิจไม่มีความชัดเจน
เมื่อวันศุกร์ที่แล้วหุ้นอินเทลมีราคาล่าสุดอยู่ที่ $60 เป็นตัวเลขกลางๆ ที่ไม่ได้หวือหวานักนับตั้งแต่ฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเดือนมีนาคม นักลงทุนหวังให้ราคาหุ้นอินเทลจะสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้จากการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในสัปดาห์นี้