คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินคนพูดถึงการเทขายหุ้นมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่ขึ้นมาแล้วมากกว่า 500% ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่ถือหุ้นเทสลา (NASDAQ:TSLA) อาจจะต้องพิจารณาเรื่องจุดออกออเดอร์ของตัวเองกันบ้างหลังจากหุ้นเทสลาสร้างปรากฎการณ์ขาขึ้นสุดโหดใน 12 เดือนล่าสุด
หลังจากที่หุ้นเทสลาขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $1,794.99 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมหุ้นเทสลาก็ได้ร่วงลงมา 17% เพิ่มความเป็นไปได้ให้กับนักลงทุนได้เริ่มคิดว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับฐานครั้งใหญ่ตามที่เหล่านักวิเคราะห์ชื่อดังเคยเตือนก่อนหน้านี้ ปัจจุบันหุ้นเทสลามีราคาปิดอยู่ที่ $1,484.57 ปรับตัวลดลงมาตลอดทั้งวัน 4%
ขาขึ้นครั้งล่าสุดของหุ้นเทสลาต้องยอมรับว่าเกิดจากแค่กระแสข่าวบนทวีตเตอร์ของ CEO อีลอน มัสก์เท่านั้น แม้จะเป็นเพียงการทวีตสั้นๆ แต่ก็สามารถเพิ่มมูลค่าของหุ้นได้มากถึง 2 เท่าใน 3 เดือนแต่สิ่งที่ทำให้หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้มีปัจจัยสนับสนุนที่เป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้มากกว่านั้น
อันดับแรกข้อมูลจากยอดขายรายไตรมาสของเทสลาระบุว่าเทสลาสามารถส่งมอบรถจำนวน 90,650 คันให้กับลูกค้าได้ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนก่อนสิ้นสุดเดือนมิถุนายนซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 83,000 คัน นี่คือความสำเร็จของบริษัทเทสลาที่เกิดขึ้นแม้ว่าโรงงานในแคลิฟอร์เนียจะถูกสั่งระงับการทำงานชั่วคราวเพราะวิกฤตโควิด-19 ที่ยังคงระบาดอยู่ในแคลิฟอร์เนีย
จากความสำเร็จนี้จึงทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่ารายงานผลประกอบการของบริษัทเทสลาในวันที่ 22 กรกฎาคมผลงานของหุ้นเทสลาจะต้องสามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่นเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน หากผลประกอบการที่ออกมาเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้จริงจะทำให้หุ้นเทสลากลายเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะถูกลิสต์ขึ้นไปอยู่บนดัชนี S&P 500 ความเป็นไปได้นี้ยิ่งทำให้นักลงทุนอยากช่วยให้หุ้นเทสลากลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก Morningstar Direct ระบุว่าการที่จะขึ้นไปอยู่บนตลาด S&P 500 ได้บริษัทดังกล่าวจะต้องมีเงินสภาพคล่องหมุนเวียนอย่างน้อย $1,600,000 ล้านเหรียญและบริษัทนั้นๆ จะต้องรายงานตัวเลขกำไรสะสม 4 ไตรมาสติดต่อกัน ในข้อสุดท้ายนี้เทสลามีคุณสมบัติครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว
มูลค่าที่แท้จริงหรือแค่การเก็งกำไร
คำถามสำคัญที่แฟนๆ ของเทสลาต้องการในตอนนี้ก็คือว่า “ยังมีปัจจัยอะไรอื่นอีกไหมที่จะสามารถดันหุ้นเทสลาให้ปรับตัวสูงขึ้นได้อีก?” นักวิเคราะห์บางคนให้เหตุผลมาตอบคำถามในข้อนี้ว่า อาจต้องรอให้เทสลาเข้าสู่ตลาดอินเดียได้หรืออาจจะเป็นการออกแบบรถที่เป็นทรงอีโค่คาร์แต่ใช้พลังงานไฟฟ้า เรื่องการถูกลิสต์ขึ้น S&P 500 ก็สามารถใช้เป็นเหตุผลได้ด้วยเช่นกัน
ปัญหาก็คือว่าเหตุผลที่พึ่งพูดถึงไปเป็นข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วและคือเหตุผลหลักที่ดันหุ้นเทสลาขึ้นมาอยู่ ณ จุดปัจจุบันได้ ขาขึ้นของเทสลาครั้งล่าสุดนี้ทำให้มูลค่าทางการตลาดสามารถมีตัวเลขมากกว่า $275,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมากกว่าบริษัท Ford (NYSE:F), GM (NYSE:GM) และ Fiat Chrysler (NYSE:FCAU) รวมกัน
ถ้ามองอีกด้านหนึ่งข้อมูลเหล่านี้คือตัวเลือกที่ดีสำหรับนักเก็งกำไรที่ต้องการเข้ามาหากินกำไรในช่วงสั้นๆ กับหุ้นเทสลาและการออกจากตลาดของเหล่านักเก็งกำไรคือสาเหตุหนึ่งว่าทำไมหุ้นเทสลาจึงได้ร่วงลงอย่างที่เห็น แม้นักลงทุนเทสลาจะไม่อยากให้การเทขายเกิดขึ้นแต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือธรรมชาติของหุ้นในตลาดและก็มีนักลงทุนอีกส่วนหนึ่งที่กำลังรอให้หุ้นเทสลาย่อตัวลงมารับ มูลค่าของเงินลงทุนที่วางไว้ฝั่งตลาดหมีตอนนี้มีมูลค่ารวมเกือบ $2,000 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว
นายอดัม โจนาส นักวิเคราะห์ชื่อดังของมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า “เราไม่สามารถคาดหวังให้หุ้นเทสลาปรับตัวสูงขึ้นไปตลอดได้” นอกจากนี้เขายังได้ปรับราคาเป้าหมายการย่อของหุ้นเทสลาลงมาเป็น $740 คิดเป็น 52% จากราคาปิดของหุ้นเทสลา ณ ปัจจุบัน
ในความเห็นของ Investing.com เรามองว่ามูลค่าของหุ้นเทสลาในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะสามารถวัดด้วยมาตรฐานสากลในตลาดหลักทรัพย์ได้เพราะปัจจัยที่ขับเคลื่อนหุ้นเทสลายังคงเป็นการเก็งกำไรอยู่เยอะพอสมควร ที่สำคัญยังมีนักลงทุนรายใหญ่จากสถาบันและรายย่อยเข้ามาช่วยทำให้หุ้นเทสลามีราคาที่สูงขึ้น
โดยสรุปแล้ว
การขายหุ้นเทสลาเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากทำแต่ก็ต้องยอมรับว่าหุ้นเทสลาในตอนนี้อยู่ในตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบมากเกินกว่าความเป็นจริง ดังนั้นการถอยออกมาจากหุ้นเทสลาเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อนที่การรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 จะออกจึงไม่ใช่เรื่องที่โง่เขลาแต่อย่างใด จำไว้ว่าไม่มีหุ้นใดที่สามารถขึ้นเป็นเส้นตรงได้ตลอดเวลา กว่าที่เทสลาจะได้รับการยอมรับว่าเป็นหุ้นที่มีความน่าเชื่อถือและมีเสถียรภาพยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ สิ่งที่น่ากลัวก็คือทุกๆ ครั้งที่หุ้นเทสลาปรับฐานลงมาไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่ลงมาถึง 50% ของขาขึ้นรอบนั้นๆ เลยสักครั้ง