การประชุมคณะกรรมการร่วมตรวจสอบในระดับรัฐมนตรี (JMMC) ของกลุ่มโอเปกพลัสเมื่อวันพุธได้ข้อสรุปว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซียอนุญาตให้สมาชิกในกลุ่มสามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันได้ (ลดโควตาการลดกำลังการผลิตน้ำมัน) เป็น 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคมเพราะทั้งสองประเทศมองว่าโลกตอนนี้จะต้องการน้ำมันมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและประเทศสมาชิก “มีความจำเป็นต้องมีน้ำมันในส่วนสำรองเอาไว้”
อย่างไรก็ตามทั้งซาอุดิอาระเบียและรัสเซียยังอนุญาตอีกว่าส่วนน้ำมันที่ผลิตออกมาเพิ่มนี้แต่ละประเทศสามารถเก็บไว้ใช้ในประเทศของตนเองได้ ทำไมทั้งซาอุดิฯ กับรัสเซียถึงให้สัญญาอย่างนั้นถ้าพวกเขาเชื่อว่าความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกดีดกลับมาแล้ว? ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้การลดโควตาการลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งนี้คืออะไร?
เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกน้ำมันด้วยการแปรรูปสินค้า
ซาอุดิอาระเบียมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอยู่แล้ว 500,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอับดุลลาสิส บิน ซัลมานกล่าวว่าซาอุดิอาระเบียต้องการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเพื่อรองรับการใช้งานของประชาชนในช่วงหน้าร้อนซึ่งช่วงหน้าร้อนที่ว่าอยู่ในช่วงครึ่งเดือนสิงหาคมพอดี อันที่จริงแล้วรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันรายนี้เคยให้สัญญาว่า “ซาอุดิฯ จะไม่ส่งออกน้ำมันเกินโควตาเป็นพิเศษแม้แต่บาร์เรลเดียวในเดือนสิงหาคม”
สัญญาด้วยวาจานี้อาจจะเป็นจริงแต่ก็อาจจะหมายความว่าซาอุดิอาระเบียอาจเลือกแปรรูปน้ำมันดิบในโควตาพิเศษนี้ด้วยการกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปก่อนที่จะส่งต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกได้ ซาอุดิฯ ยังมีข้ออ้างดีๆ อีกอย่างเช่นว่า “เพราะผู้คนจำเป็นต้องอยู่แต่ในบ้านมากขึ้นในช่วงหน้าร้อน ดังนั้นเราเลยต้องผลิตน้ำมันและพลังงานในโควตาพิเศษเพิ่มมากขึ้น” อย่าลืมว่าซาอุดิอาระเบียก็เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิดไม่ต่างจากที่อื่นๆ ของโลก การล็อกดาวน์ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศต้องชะงักลงในขณะที่ประชาชนในประเทศก็ต้องอยู่บ้านกันเป็นส่วนใหญ่แล้วจะมีทางไหนให้ประเทศสามารถหาเงินเข้าประเทศได้อีกนอกจากการขายน้ำมันส่งออก
รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของรัสเซียนายอเล็กซานเดอร์ โนวาคก็ได้ออกมายืนยันด้วยเช่นกันว่ารัสเซียจะเก็บน้ำมันส่วนพิเศษที่ผลิตเพิ่มเอาไว้ใช้เองภายในประเทศซึ่งรัสเซียก็ได้วอร์มรอแล้วโดยดูได้จากโรงกลั่นน้ำมัน Urals ที่ได้กลั่นน้ำมันออกมาเป็นจำนวนมหาศาลมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนนี้และนำไปเทียบค่าพรีเมี่ยมร่วมกับน้ำมันดิบเบรนท์
แม้โนวาคจะให้การรับรองได้ว่ารัสเซียจะไม่เพิ่มโควตาการส่งออกน้ำมันแน่นอนก็มีความเป็นไปได้อีกที่รัสเซียจะส่งน้ำมันส่วนเกินนี้ให้ Urals กลั่นน้ำมันเพิ่ม ยิ่งถ้าพวกเขาเห็นว่าผู้บริโภคในยุโรปหันมาซื้อน้ำมันจากรัสเซียแทนที่จากเดิมเคยใช้น้ำมันจากแอฟริกาตะวันตกและทะเลทางตอนเหนือแล้วละก็...มีผู้ขายที่ไหนบ้างไม่อยากขายของที่เห็นตลาดชัดๆ อยู่แล้วว่ายังไงก็มีคนซื้อ
สถานการณ์ความต้องการน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ยังไม่ดีขึ้น
ภาพรวมของผู้ผลิตน้ำมันเบอร์ 3 ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกายังไม่มีทิศทางที่แน่นอนชัดเจน อ้างอิงข้อมูลจากรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ EIA เผยว่าแม้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังว่าจะลดลงมากถึง 7 ล้านบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันกลับไม่เพิ่มสูงขึ้นจนสามารถเห็นความแตกต่างได้
ความต้องการน้ำมันดิบชะลอตัวลงในพื้นที่หลักๆ ของสหรัฐฯ ที่โดยปกติแล้วคิดเป็น 27% ของความต้องการน้ำมันดิบอย่างรัฐเท็กซัส แคลิฟอร์เนียและฟลอริด้าเพราะยังไม่สามารถแก้ปัญหาโควิด-19 ที่ระบาดอย่างหนักได้ ล่าสุดแคลิฟอร์เนียพึ่งประกาศในธุรกิจบางประเภทต้องหยุดกิจการ ถึงแม้ว่าฟลอริด้าและเท็กซัสจะยังไปไม่ถึงจุดนั้นแต่ความต้องการน้ำมันดิบภายใน 2 รัฐนั้นก็ไม่ดีขึ้นเลย อ้างอิงข้อมูลจาก EIA ตอนนี้การผลิตน้ำมันสหรัฐฯ ต้องถูกทำให้คงที่เอาไว้ ณ 11 ล้านบาร์เรลต่อวัน
มีโอกาสไหมที่ OPEC จะกลับลำในอนาคต?
กลุ่มโอเปกพลัสดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้วางแผนอย่างเป็นรูปเป็นร่างรองรับเรื่องความต้องการน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกาซ้ำยังบอกอีกด้วยว่าประเทศสมาชิกใดที่ล็อกดาวน์เศรษฐกิจภายในประเทศตัวเองจนความต้องการน้ำมันลดลงจะถูกคว่ำบาตรชั่วคราว อ้างอิงข้อมูลจากรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของซาอุดิอาระเบียเผยว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะพืจารณาการประชุมฉุกเฉินต่อเมื่อการล็อกดาวน์ใหม่ของประเทศสมาชิกส่งผลกระทบต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจโลกเท่านั้น การประชุมครั้งต่อไปของ JMMC จะมีขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมเพื่อติดตามความคืบหน้าหลังจากลดโควตาการลดกำลังการผลิตน้ำมันของแต่ละประเทศสมาชิกไปแล้ว กลุ่มโอเปกพลัสมีกำหนดการที่จะประชุมกันในเดือนธันวาคมเพื่อพิจารณาการเพิ่มโควตากำลังการผลิตน้ำมัน