สัปดาห์นี้คือสัปดาห์แรกของการรายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วหุ้นกลุ่มแรกที่จะเริ่มรายงานผลประกอบการก่อนคือหุ้นกลุ่มธนาคาร สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับการรายงานผลประกอบการในครั้งนี้คือตัวเลขหนี้สูญและตัวเลขกำไรจากการค้าที่จะชี้ให้เห็นว่าตลาดเงินทุนจะยังอยู่ดีเหมือนเดิมหรือไม่
หุ้นกลุ่มธนาคารถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเสี่ยงที่นักลงทุนเป็นห่วงว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่จะนำไปสู่การถดถอยทางเศรษฐกิจที่หนักที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2020 นักลงทุนพอจะได้เห็นมาบ้างแล้วว่าหลังจากปรับอัตราดอกเบี้ยลงไปเกือบ 0% นั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากเพียงใด
ไตรมาสที่ 2 คือผลต่อเนื่องที่เกิดมาจากการล็อกดาวน์ในไตรมาสแรกและยังได้รับการพูดถึงอยู่บ่อยๆ ว่าจะเป็นไตรมาสที่หนักที่สุดของปี 2020 สร้างผลกระทบต่อระบบการเงินและสภาพคล่องในกิจกรรมทางการเงินรูปแบบต่างๆ เช่นการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตและการกู้ยืมเงิน
นายริชาร์ด แรมส์เดน นักวิเคราะห์จากธนาคารการลงทุนชื่อดังโกลด์แมน แซคส์แสดงความเห็นเกี่ยวกับอนาคตของหุ้นกลุ่มธนาคารว่า “เราคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ของบริษัทโดยทั่วไปแบบปีต่อปีจะลดลงประมาณ 69% อย่างไรก็ตามเพราะการลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเกือบ 0% เชื่อว่าจะทำให้ตัวเลขบัญชีงบดุลและเงินทุนหมุนเวียนในตลาดยังสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารมีเกราะกำบังความเสียหายอยู่”
ในปี 2020 ดัชนีชี้วัดความสามารถในการทำกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคาร {{957072|KBW NASDAQ Bank Index}} ปรับตัวลดลง 35% เมื่อเทียบกับดัชนีหลักอย่าง S&P 500 ที่ปรับตัวลดลง 2.4% เวลล์ ฟาร์โก (NYSE:WFC) คือหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ร่วงลงมากที่สุด 55%
เวลล์ ฟาร์โกจะรายงานผลประกอบการในวันอังคารที่ 14 กรกฎาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเวลล์ ฟาร์โกจะสามารถปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ $0.1 ต่อหุ้นและมีตัวเลขยอดทำกำไรรวมอยู่ที่ $18,370 ล้านเหรียญสหรัฐ
หัวใจสำคัญอยู่ที่การกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและความสามารถในการปันผล
อีกหนึ่งข้อมูลตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนจะให้ความสนใจคือความสามารถในการยืดระยะเวลากู้ยืมให้กับผู้กู้เพื่อนำเงินไปชำระหนี้และลดโอกาสการเกิดหนี้เสีย สำหรับวงการธนาคารแล้วครั้งสุดท้ายที่ตัวเลขการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญพุ่งขึ้นไปจนเกือบติดเพดานต้องย้อนกลับไปยังปี 2008 ในช่วงที่มีวิกฤตทางการเงิน นักวิเคราะห์จาก Barclays ระบุว่าขอเพียงการรายงานผลประกอบการครั้งนี้มีสัญญาณบ่งบอกว่าหุ้นธนาคารได้ผ่านจุดที่ตัวเลขการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลงไปยังจุดต่ำสุดมาแล้ว หุ้นกลุ่มธนาคารจะปรับตัวขึ้นทันที
นายจอห์น ชริวส์เบอรี่ CFO ของเวลล์ ฟาร์โกกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า “ในไตรมาสที่ 2 เราจะได้เห็นเวลล์ ฟาร์โกแยกหนี้เสียออกมาได้มากขึ้น” แม้แต่เจพีมอร์แกนเชส (NYSE:JPM) ยังมีตัวเลขกำไรของไตรมาสแรกลดลง 69% และสามารถแยกหนี้เสียออกมาได้มากถึง $8,290 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งถือเป็นตัวเลขการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมากที่สุดในรอบทศวรรษ นักวิเคราะห์คาดว่าการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของเจพีในวันพรุ่งนี้ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดจะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.19 และมีตัวเลขกำไรรวมสุทธิอยู่ที่ $30,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้นักลงทุนยังค่อนข้างเป็นกังวลกับความสามารถในการปันผลของธนาคารพาณิชย์เพราะก่อนหน้านี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ออกมาบอกกับธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุด 33 แห่งของสหรัฐฯ ว่าห้ามปันผลมากกว่าที่เคยปันผลอยู่และห้ามซื้อหุ้นคืนไปจนกว่าจะถึงเดือนกันยายนเป็นอย่างน้อยเพราะโควิด-19 อาจทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมลดลง
เวลล์ ฟาร์โกจำเป็นต้องลดตัวเลขเงินปันผลในไตรมาสที่ 2 ของตัวเองลงจาก $0.51 เป็น $0.36 เช่นเดียวกันกับแคปิตอล วัน (NYSE:COF) ที่ต้องลดเงินปันผลจากเดิมที่อยู่ $0.40 ลงมาเป็น $0 เรียบร้อย แม้ว่าภาพรวมแล้วหุ้นกลุ่มธนาคารจะมีปัจจัยทางเศรษฐกิจกดดันอย่างหนักแต่การค้าขายที่กลับมาดีขึ้นหลังจากการเปิดเมืองคือปัจจัยหนุนที่ยังช่วยผู้กู้รายใหญ่ให้สามารถหมุนเงินต่อไปได้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “เมื่อรวมกำไรจากหุ้นและการซื้อขายตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ของธนาคารยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 แล้วพบว่ากำไรที่ได้อาจจะเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับกำไรในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 เจพีมอร์แกนอาจมีกำไรรวมเพิ่มขึ้น 50% ในขณะที่ซิตี้กรุ๊ป (NYSE:C) อาจได้เห็นตัวเลขกำไรฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดดจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคม”
โดยสรุปแล้ว
จากผลกระทบของวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ดูเหมือนว่าการฟื้นตัวของตัวเลขผลประกอบการจากหุ้นกลุ่มธนาคารจะไม่สามารถทำได้โดยง่าย แต่สภาพคล่องของธนาคารที่มีตอนนี้ดีกว่าสมัยวิกฤตการเงินปี 2008 มากอย่างมีนัยสำคัญ สภาพคล่องนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนไม่อาจวางมือจากหุ้นกลุ่มธนาคารลงได้ เมื่อใดที่หุ้นของธนาคารที่ชอบลงมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจ นั่นคือโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ