ย้อนไปเดือน มิ.ย. 63 ที่เราประเมินว่าเป็นเดือนของการระดมทุนโดยการออกพันธบัตรของรัฐบาลท่ัวโลก ซึ่งทา ให้เราประเมินว่าสภาพคล่องในตลาดทุนจะถูกดึงออกไปชั่วคราว และอาจท าให้เกิดปรากฏการณ์ Sell in June พอมาถึงเดือน ก.ค. 63 เราประเมินว่าจะเป็นเดือน ของการลงทุนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะลงทุนผ่านโครงสร้างพืน้ฐาน หรือจะเป็นการช่วยเหลือ SME และการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบหนัก ซึ่งทั้งหมดทำผ่านนโยบายการคลัง
ขณะที่ นโยบายการเงินของหลายธนาคารกลางสู้แบบสุดตัวไปแล้ว เราประเมินว่านโยบายการคลังที่มีขนาดเฉลี่ย 10% ของ GDP ทั้งโลก (เป็น 2 เท่าของคาดการณ์ GDP โลกปี
นีที่ -4.9%) จะมีบทบาทมากกว่านโยบายการเงินหลังจากนี้ไป ซึ่งประเทศที่ทำได้เด่นชัดและฟื้นตัวเร็วมากคือ จีน เพราะฉะนั้น หุ้นกลุ่ม Global Play เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้างรวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ มีโอกาสโดดเด่นใน 2H63 เราแนะนำ ปตท. (BK:PTT) , PTTGC, SCC, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (BK:MINT), DELTA และหุ้นที่เชื่อมโยงจีน CPF, BPP, STA, TKN, PORT
นโยบายการคลังจะเข้ามารับไม้ต่อนโยบายการเงินที่ทุ่มสุดตัวไปแล้ว
หลังจากธนาคารกลางท่ั่วโลกพร้อมใจกันลดดอกเบี้ยและซื้อตราสารหนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการเงิน ทำให้อัตราดอกเบี้ยต่าสุดเป็นประวัตกิารณใ์นหลายประเทศ ซึ่ง
เป็นผลดตี่อทั้งการ Roll Over ของผู้ที่มี ภาระหนี้มาก, การระดมเงินของผู้ที่ต้องการลงทุนใหม่ , การกู้เงนิของภาครัฐเพื่อ ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจและชดเชยขาดดุลงบประมาณ, รวมถึงเป็นผลดีกับผู้ลงทุน ที่ราคาสินทรัพยโ์ดยเฉพาะตราสารหนี้ ปรับตัวขึ้นเร็วจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจจริงและตลาดการเงินซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลหลายแห่งมีการกู้เงินโดยการออกพันธบัตร เช่นสหรัฐฯที่ดึงพันธบัตรอายุ 20 ปีกลับมาขายอกีครั้งด้วยวงเงิน 2 หมื่นล้าน หรือแม้แต่ไทยเองก็ออกพันธบัตรออมทรัพยร์ุ่นเราไม่ทิ้งกันวงเงิน 5 หมนื่ ลบ. (จากเป้า 2 แสนลบ.)
เพราะฉะนั้น เดือน ก.ค. 63 จะเป็นเดือนเริ่มต้นของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง โดยในเอเชียจะเน้นโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนยุโรปและสหรัฐฯจะโฟกัสที่เทคโนโลยี
โดยเฉพาะ 5G ขณะที่ ประเทศไทย สถาพัฒน์ฯ จะนำ 213 โครงการวงเงิน 0.8-1.0 แสนลบ.เสนอให้ ครม. พิจารณาวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นส่วนของงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนลบ. ระลอกแรกที่เน้นท่องเที่ยวและโครงการท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการจ้างงาน
นโยบายการคลังของจีนเข้มข้น
จากข้อมูลของ IMF จีนจะใช้งบราว 4.2 ล้านล้านหยวน หรือ 4.1% ของ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีมาตรการสำคัญ (1) ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 (2)การผลิตอุปกรณ์การแพทย์ (3) เร่งการเบิกจ่ายการประกันการว่างงาน (4) บรรเทาภาษี (5)การลงทุนของภาครัฐ ซึ่งทงั้หมดสะท้อนมายัง PMI ภาคการผลิตและบริการ มิ.ย. 63 ที่กลับมายืนเหนือ 50 โดยตัวเลขของทางการอยู่ที่50.9 และ 54.4 ตามลำดับ
นโยบายการคลังของไทยยังมีช่องว่างให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก
ถ้าอิงการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของทุกประเทศท่ั่วโลก โดยเราคาดการณ์จากดุลงบประมาณปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมา จะได้ค่าเฉลี่ยที่ราว 10% ของ GDP และถ้าอิงคาดการณ์ GDP โลกปีนี้ของ IMF ที่ -4.9% เท่ากับว่านโยบายการคลังมีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของ GDP ที่ติดลบ เทียบกับของไทยที่คาด GDP ติดลบราว -7% ถึง -9% นโยบายการคลังควรมีขนาด 14-18% ของ GDP แต่ปัจจุบันภายใต้พ.ร.ก. เงินกู้1 ล้านลบ. มีขนาดเพียง 9-10%ของ GDP ถ้าจะให้เท่าค่าเฉลี่ยโลก ไทยยังสามารถกู้เพื่อลงทุนโครงสร้างพนื้ฐานได้อกีราว 4-8 แสนลบ. โดยที่ไม่ทำให้หนีส้าธารณะต่อ GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ 65-70% แต่ผลลัพธ์จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจจริงให้ฟื้นได้เร็วหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมาตรการและแรงจูงใจให้ผู้มเีงินเหลือกลับมาใช้จ่ายเพื่อเร่งการหมุนของเงินผ่านตัวคูณทวี
หุ้นกลุ่ม Global Play ต้องมา เพราะบวกโดยตรง และงบ 2Q63 ยังไหวแถมมีปันผล
หุ้นที่จะได้ประโยชนโ์ดยตรงจากการเร่งลงทุนของรัฐบาลทั่วโลกคือพลังงานและปิโตรเคมี ที่เด่นมากคือ PTT, PTTGC, SCC เพราะงบไม่แย่และมีปันผลกลางปีแล้วเสริมด้วยหุ้นทางต่าอย่าง MINT และหุ้นเกาะกระแส 5G อย่าง DELTA รวมถึงหุ้นไซส์กลางที่ผูกไปกับอุปสงคใ์นจีน เช่น CPF, BPP, STA, TKN, PORT ซึ่งเป็นชุดหุ้นที่เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง
บทวิเคราะห์จาก Yuanta Securities