กราฟราคาสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันแล้วแม้ว่าแท่งเทียนเมื่อวานจะมีความพยายามปรับตัวขึ้นแต่ก็ทำได้เพียงปิดใกล้เคียงกับจุดเปิดแท่งเท่านั้น แรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมราคานี้เกิดจากการใกล้มาถึงของวันที่สัญญาซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้ามูลค่า $1,000 ล้านเหรียญใกล้จะหมดอายุสัญญาลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้นักลงทุนบางส่วนหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่นทองคำและบิทคอยน์
แม้จะมีเหตุผลสนับสนุนจากทั้งสองฝั่งแต่จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคพบว่ากราฟอาจจะมีโอกาสปรับตัวลดลงมากว่าปรับตัวสูงขึ้น
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดไม่สามารถพาตัวเองขึ้นยืนเหนือระดับราคา $10,000 ได้สักทีทั้งๆ ที่เศรษฐกิจโลกในทุกวันนี้ก็ไม่มีความชัดเจน จากวันที่ 7 พฤษภาคมที่บิทคอยน์แสดงขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญออกมาแต่ตอนนี้ผ่านไปเกือบจะถึงสองเดือนแล้วที่ราคาไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้าน $10,000 ขึ้นไปได้ จากความพยายามอยู่บ่อยครั้งตอนนี้ดูเหมือนว่าแรงขาขึ้นจะเริ่มหมดศรัทธากันแล้ว
หลังจากวันที่ 1 มิถุนายนที่กราฟบิทคอยน์สามารถสร้างจุดสูงสุดเหนือ $10,000 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งก่อนโควิดเข้าในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ กราฟบิทคอยน์ก็ถูกผลักกลับลงมาจากจุดสูงสุดนั้นภายในวันต่อมา จากนั้นไม่ว่าราคาจะพยายามขึ้นสักเท่าไหร่ก็จะถูกปฏิเสธจากแนวต้านนี้อยู่เสมอ
การที่กราฟบิทคอยน์มีราคาปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์คือการร่วงลงของราคาประมาณ 55% ก่อนที่จะสามารถดีดกลับขึ้นมาได้ จุดนี้เองคือช่วงที่นักลงทุนบางคนมองว่าขาขึ้นยังมีหวังและเริ่มกลับเข้ามาวางคำสั่งซื้อใหม่
แท่งเทียนขาขึ้นรูปหัวค้อนที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อวานนี้ในกราฟรายวันทำให้เราเริ่มพิจารณาว่าทำไมแนวรับบริเวณนี้ถึงเป็นจุดเดียวที่มีคนพยายามจะดันราคาให้ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อมองย้อนกลับไปก็พบว่ากราฟบิทคอยน์ได้ฟอร์มตัวเป็นรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) อยู่และแนวรับที่เราสงสัยอยู่ก่อนหน้านี้คือบริเวณเส้น neckline ซึ่งเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของทั้งแนวโน้มขาขึ้นและขาลง เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาสามารถหลุดเส้น neckline นี้ลงมาได้เมื่อนั้นรูปแบบหัวไหล่ของบิทคอยน์ก็จะสมบูรณ์
นอกจากบริเวณแนวรับดังกล่าวจะมีเส้น neckline แล้วยังมีเส้นเทรนด์ไลน์สีแดงอีกเส้นที่เป็นแนวรับสำคัญด้วย ความแข็งแกร่งของแนวรับบริเวณนี้จึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก ในส่วนของอินดิเคเตอร์ MACD และ RSI ได้แสดงรูปแบบที่สนับสนุนแนวโน้มขาลงออกมาเมื่อปรากฏรูปแบบไดเวอร์เจนต์ระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์ขึ้นตลอดในช่วงที่รูปแบบหัวไหล่กำลังสร้าง
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าราคาจะสามารถสร้างรูปแบบหัวไหล่เสร็จและต้องมีแท่งเทียนที่สามารถทะลุเส้น neckline ลงไปได้ด้วยซึ่งแท่งเทียนแท่งนั้นต้องทะลุลงไปมากกว่า 3% เพื่อเลี่ยงการเกิดขาลงหลอก แต่ส่วนตัวแล้วเราอยากจะแนะนำว่าควรให้กราฟทะลุไปลงเลย 10% เพราะบิทคอยน์มีความผันผวนสูง หากรอให้ลงจนถึง 10% เท่ากับว่าบิทคอยน์จะสามารถลงไปถึงจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมเลย จากนั้นรอกราฟย่อกลับขึ้นมาแล้วจึงวางคำสั่งขาย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง มองลงเช่นเดียวกันกับกลุ่มที่ไม่ชอบความเสี่ยงแต่จะขอความมั่นใจจากการทะลุเส้น neckline เพียง 5% พอ นอกจากนี้นักลงทุนกลุ่มนี้จะรอการดีดกลับของราคาเช่นกันแต่จะไม่รอแท่งเทียนยืนยันขาลง
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งขายไม่ว่ากราฟจะสามารถขึ้นไปยังราคา $9,600 หรือลงไปต่ำกว่า $8,800 ได้ก็ตาม ในกรณีของขาลง นักลงทุนกลุ่มนี้ขอเพียงทะลุลงไปอย่างน้อย 1% หรือบริเวณจุดต่ำสุดของวันที่ 15 มิถุนายนก็พอ
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: 8,800
- Stop-Loss: 9,300 (เหนือโซนแนวรับโดยเฉลี่ยของเดือนมิถุนายน)
- ความเสี่ยง: $500
- เป้าหมายในการทำกำไร:7,300
- ผลตอบแทน: $1,500
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3
ห้ามพลาด
♦ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ สร้างจุดสูงสุดใหม่ทำให้ตลาดฟอเร็กซ์มีโอกาสปรับตัวลดลง