เรื่องการรับมือ COVID-19 ทั่วโลกมองว่าเป็นความล้มเหลวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์และรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพราะปล่อยให้มียอดผู้ติดเชื้อสูงทะลุ 2 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วกว่า 112,000 คน ซึ่งสื่อและนักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าน่าจะมียอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงกว่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนจนและคนไร้บ้านที่เข้าไม่ถึงการตรวจเชื้อและการรักษาพยาบาล
อย่างไรก็ตามวันนี้เรื่อง COVID-19 กลายเป็นเรื่องรองลงไปแล้วสำหรับชาวอเมริกันเมื่อเทียบกับม็อบ จอร์จ ฟลอยด์ หรือม็อบ BLACK LIVES MATTER (ชีวิตคนดำก็มีความหมาย) ที่ประท้วงกันทั่วประเทศมาต่อเนื่องเกือบสองสัปดาห์ แถบยังลามไปอีกหลายประเทศนอกอเมริกา
คนที่ไม่ชอบทรัมป์สามารถสรุปว่านี่คืออีกหนึ่งความล้มเหลวของทรัมป์ที่สะท้อน “ความไร้ภาวะผู้นำที่ดี”
จอร์จ ฟลอยด์” เป็นอเมริกันผิวดำที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2020 ที่เมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา เนื่องจากถูกกลุ่มตำรวจผิวขาวกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ซึ่งคลิปเหตุการณ์ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อได้ปลุกเร้าอารมณ์ชาวอเมริกันทั้งผิวดำและผิวขาวให้ออกมาร่วมประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ จอร์จ ฟลอยด์ จนลุมลามบานปลายกลายเป็นจลาจลปล้นสดมภ์และเผาเมือง
มีการประเมินว่าผลงานหลายเรื่องของทรัมป์ในระยะหลัง ทั้งก่อสงครามการค้ากับจีน ทั้งรับมือการแพร่ระบาดของCOVID-19 แล้วมีผลให้คนตกงานเกือบ 40 ล้านคน จนมาถึงการประท้วงทั่วสหรัฐอเมริกาซึ่งเหมือนกับชัตดาวน์อเมริกาอีกครั้ง คือ “ขาลง”ของทรัมป์ที่จะมีผลต่อความพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปีนี้
ท่านเชื่ออย่างนั้นด้วยหรือเปล่า ท่านประเมินทรัมป์และพรรครีพับริกันเร็วเกินไป และต่ำเกินไปหรือเปล่า?
ท่านกำลังมองสหรัฐอเมริกาจากมุมของคนไทย หรือสายตาของคนเอเชียด้านเดียวหรือเปล่า?
ลองย้อนเวลากลับไปปี 2016 ตอนที่ทรัมป์ลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีกับนางฮิลลาลี คลินตัน แรกๆเสียงส่วนใหญ่ก็ประเมินว่าทรัมป์แพ้แน่ แต่สุดท้ายเกมส์ก็พลิกเมื่อทรัมป์โค่นฮิลลาลีลงได้ด้วยนโยบาย America First และ America The Great ที่เป็นการปลุกเสียงอนุรักษ์นิยมในชาติขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจะมีแต่เสียงด่ามากกว่าเสียงชมจากชาวโลก แต่ทรัมป์ก็สามารถทำตนเองให้เป็นข่าวได้ทุกวัน โดยแสดงความเชื่อมั่นมาตลอดว่าจะนั่งเก้าอี้ที่ทำเนียบขาวต่อเป็นสมัยที่สอง
คนเอเชียฝั่งตะวันออกมองว่าทรัมป์ล้มเหลวเรื่อง COVID-19 แต่ทรัมป์บอกกับชาวอเมริกันและโลกตะวันตกว่าเป็นความผิดพลาดขององค์การอนามัยโลก(WHO) เป็นความรับผิดชอบของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ปล่อย “ไวรัสจีน”ให้แพร่กระจายจากห้องแล็ปเมืองอู่ฮั่น
คนระดับผู้นำประเทศพูดอย่างนี้ชาวอเมริกันและฝรั่งโลกตะวันตกจำนวนไม่น้อยก็เชื่อตามนั้น ทำให้เกิดกระแสกลัวคนจีน เกลียดคนจีน ลามมาถึงคนเอเชียผมดำผิวเหลืองที่ถูกเหมารวมว่าเป็นเชื้อโรคหรือผู้แพร่เชื้อ
ถ้ามองในสายตาคนอเมริกัน นั่นคือความสำเร็จของทรัมป์ในเรื่อง COVID-19 เพราะไม่ต้องรับผิดชอบ และได้บอกก่อนแล้วว่าอาจมีคนตายเป็นแสน ก่อนจะสามารถผลิตวัคซีนออกมาสยบไวรัสในช่วงปลายปี
กรณีม็อบ จอร์จ ฟลอยด์ ถูกจับตายโดยตำรวจจอมโหด แทนที่จะเล่นบทเศร้าโศกเสียใจและเรียกร้องให้ประท้วงกันแบบสงบ ทรัมป์ยังคงเล่นบทห้าวเป้งเหมือนเดิมคือขู่ยิงทิ้งคนที่ออกมาปล้นสดมภ์ ประกาศจะเอาทหารติดอาวุธครบมือออกมาจัดการเพราะเชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มก่อการร้าย แอนติฟา(ANTIFA) ที่อยู่เบื้องหลังความรุนแรง
นี่ก็น่าจะได้ใจชาวอเมริกันที่ต้องการผู้นำที่แสดงความเด็ดขาดในการจัดการพวกที่ท้าทายกฎหมาย โดยเฉพาะบรรดาเจ้าของร้านค้าที่ถูกทุบกระจก ถูกปล้น ถูกเผา
ทรัมป์นำพาอเมริกาไปทะเลาะกับจีนมา 2 ปีกว่า เพื่อสกัดดาวรุ่ง อ้างจีนเอาเปรียบด้านการค้า อ้างเพื่อปกป้องผู้ผลิตสินค้าชาวอเมริกัน ซึ่งย่อมได้ใจชาตินิยมอเมริกัน
หากนับรวมการแทรกแซงจีนในเรื่องฮ่องกง ไต้หวัน และตะวันออกกลาง ทรัมป์ก็สามารถคุยโม้กับฐานเสียงในบ้านตนเองได้ว่าสหรัฐอเมริกายังเหนือกว่ามหาอำนาจใดในโลก
วันนี้แม้มีคนบอกว่าเสียงของ โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต ขยับมาแรง แต่ยังมีเวลาอีกเกือบ 5 เดือนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งใหญ่ ป่านนั้นม็อบเรียกร้องความเป็นธรรมและความเสมอภาคของคนผิวสีก็สลายไปแล้ว ขณะที่สถานการณ์ COVID-19 ก็น่าจะคลี่คลายดีขึ้น
ช่วงเวลาที่เหลือในตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ยังสามารถงัดลูกบ้าใหม่ ๆ ออกมาเรียกคะแนนนิยมจากผู้สนับสนุนของตนได้อีกหลายชุด โดยเฉพาะ America First น่าจะยังเป็นจุดขายให้เขาได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อไปในสมัยที่ 2