เมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวร่วงหนักทุกดัชนี โดย Dow Jones ปิดที่ระดับ 25,128.17 จุด ปิดลบไป -1,861.82 จุด หรือ คิดเป็น -6.90% ขณะที่ S&P 500 ปิดที่ระดับ 3,002.10 จุด ปิดลบไป -188.04 จุด หรือ คิดเป็น -5.89% สุดท้าย ดัชนี NASDAQ ปิดลบไป -527.62 หรือ คิดเป็น -5.27% หลังจากไปยืนเหนือ 10,000 จุด ได้เพียงแค่วันเดียว
ทั้งนี้ การลบระดับนี้ ถึงแม้จะดูหนัก แต่เมื่อเทียบกับคลื่นลูกแรกของการระบาดในสหรัฐฯช่วงตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. แล้ว การร่วงระดับนี้ ยังไมได้ทำสถิติหนักสุดของปีนะครับ โดยมีอีก 5 วันทำการที่ Dow Jones ร่วงแรงกว่าเมื่อคืนนี้ (คือวันที่ 9 , 12 และ 16 มี.ค.)
ปัจจัยอะไรที่ถูกปล่อยออกมาผ่านสื่อในช่วงที่ตลาดปรับฐานบ้าง
1. สื่อทุกสำนักรายงานตรงกันว่า หลักๆมาจากปัจจัยเรื่องการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทำจุดสูงสุดใหม่ในหลายๆรัฐของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Texas, Florida, North Carolina และ Arizona โดยเฉพาะที่ Texas ที่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นทะลุ 1,500 รายต่อวันไปแล้ว ทำให้แผนการเปิดเมืองที่เพิ่งจะทำกันไป พอเจอทั้งการประท้วงกรณี การเสียชีวิตของคุณ George Floyd และการระบาดระลอก 2 นักลงทุนมองว่า โอกาสปิดเมือง กลับมา Lockdown อีกครั้งสูงขึ้นทันที
2. จริงๆ ตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงหุ้นไทย ปรับฐานล่วงหน้าไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน โดนแรงขายนั้นก็มาจากการที่ Valuation เริ่มตึงตัวมากๆ รวมถึงผลการประชุมเฟดเมื่อคืนวันพุธ ที่เฟดเลือกเพียงแค่จะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% มองว่าจะคงดอกเบี้ยต่อไปอย่างน้อยอีกปีครึ่ง แต่ยังไม่ส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆเพิ่มเติม ในขณะที่มีมุมมองว่า GDP Growth ในปี 2020 จะติดลบ -6.5% ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และหากเป็นจริงเช่นนี้ เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวแบบ U Shape มากกว่า V Shape
3. OECD ได้เตือนเมื่อวันเช้าวันพุธว่า การระบาดของ COVID-19 จะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 100 ปี โดยมองว่า หากคลื่นลูกที่ 2 ของการระบาดเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง มีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะหดตัวถึง -7.6% พอรวมกับปัจจัยในข้อ 1. กับ ข้อ 2. แน่นอนว่า ก็มีนักลงทุนที่ห่อกำไรมาตั้งแต่เดือนมี.ค. จะลดพอร์ต ขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงออกไปบ้าง
ทั้งนี้ สันนิษฐานของนักวิเคราะห์และสื่อทุกสำนักที่บอกว่า ตลาดหุ้นปรับฐานเพราะกลัว Wave 2 นั่น ก็มีส่วนจริงอยู่เยอะ เพราะหากไปมองที่หุ้นรายตัวในสหรัฐฯ จะพบว่า หุ้นกลุ่มที่โดนเทหนักๆคือ Airlines, Cruise Operators, Retailers, Banking และ Energy ซึ่ง Sensitive กับ Lockdown มากกว่าหุ้นกลุ่ม Technology
และหุ้นที่บวกได้เมื่อคืน ก็เป็นหุ้นที่พิสูจน์แล้วว่า นักลงทุนพยายามเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกักตัวอยู่บ้าน และ Work From Home อย่าง Zoom ที่ยังอุตส่าห์ปิดบวกไปได้ตัวเดียวใน NASDAQ 100 ที่ +0.48% ขณะที่หุ้น Netflix (NASDAQ:NFLX) ก็ลบน้อยที่สุดติดอันดับ 5 โดยลบแค่ -2.05% เมื่อเทียบกับดัชนีที่เฉลี่ยแล้วลบ -5.27%
ทั้งนี้ ช่วงก่อนเที่ยงคืน นาย Steven Mnuchin รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNBC ว่า การปิดเมืองรอบสอง ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ทำเนียบขาวจะทำ และบอกว่า ยินดีที่จะเข้าไปขออนุมัติผ่านสภาคองเกรสอีกรอบเพื่อกระตุ้นด้วยมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมหากจำเป็น
แต่ก็ดูเหมือนว่า คำพูดของ Mnuchin จะไม่ได้ทำให้ตลาดสบายใจขึ้นได้เลยนะครับ
ไปดูสินทรัพย์ประเภทอื่น ก็สะท้อนว่า ตลาดเข้าสู่ Risk Off Mode เพราะ ราคาทอง Spot Gold จากที่หลุด $1,690 ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาวันนี้กลับมายืนเหนือ $1,727 ได้ พร้อมๆกับ US Treasury อายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป Yield ไหลลงมากันหมด ขณะที่ US Treasury ตัวระยะสั้นกว่า 5 ปี Yield เด้งขึ้น แสดงว่ามีแรงขายโยกจากตราสารหนี้ระยะสั้นเข้าตราสารหนี้ระยะยาว
ด้านค่าเงินดอลล่าร์ ก็แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองผ่าน Dollar Index จากหลุด 96 ก็ขยับขึ้นมาที่ 96.77 จุด
วันนี้ตอนเช้าเปิดมาตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทย SET เหนื่อยแน่ๆครับ
*******************************
เพื่อตอบคำถามว่า ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงหนักเมื่อคืน มันคือการถอยมารับ หรือ ถอยมาทับ? ไป
ดูมุมมองทางเทคนิคกัน
1. ดัชนี Dow Jones Industrial Average ( กดดูกราฟ ) ภาพไม่สวย เพราะแท่งเทียนเมื่อวานหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน และได้ Sell Signal จาก MACD รวมถึง RSI ปักหัวลงมาจาก Overbought Zone ด้านที่น่าสนคือ ลงมาชน Uptrend Line ในกราฟ Day พอดี
2. ดัชนี S&P 500 ( กดดูกราฟ ) อาการคล้ายๆ Dow Jones แท่งเทียนยังไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน สิ่งที่เหมือน Dow Jones ก็คือ ได้ Sell Signal จาก MACD ไปแล้ว แต่ที่น่ากังวลกว่า คือ หลุด Uptrend Line ในกราฟ Day ไปเรียบร้อย
3. NASDAQ Composite ( กดดูกราฟ ) ยืนเกาะเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันพอดี แต่เจอ Sell Signal บน MACD รวมถึง RSI ปักหัวลงมาจาก Overbought Zone แต่ก็หลุด Uptrend Line ไปแล้ว (เพราะรอบขาขึ้น พี่ลากซะชันเหลือเกิน)
ขณะที่กราฟรายสัปดาห์ยังบอกอะไรไม่ได้มากว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงแล้วหรือยัง แต่ถ้าไปดูหุ้นรายตัวใน Technology Sector ที่เป็น Leader Stock จะพบว่าการขึ้นเริ่มชะลอมา 2 สัปดาห์ก่อนแล้ว เพราะหลีกทางให้กับพวก Cyclical Sector ได้วิ่งขึ้นมาก่อนจะโดนทุบเละเทะภายในไม่ถึงเดือน ก็ต้องมาดูหุ้นกลุ่มนี้ในสัปดาห์หน้าว่าจะปฎิบัติอย่างไร สมกับเป็นผู้นำในรอบที่ผ่านมาขนาดนั้นรึเปล่า
แต่จนถึงตอนนี้ ตลาดจะเริ่มกลับมา Sensitive กับข่าวร้าย โดยเฉพาะตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 สิ่งที่ Mr.Market ทำเป็นไม่เห็นและมองข้ามมาตลอด มาตอนนี้ อยู่ดีๆก็ให้น้ำหนักมันซะอย่างงั้น
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะมันขึ้นมาแรงเกินไป เลยต้องย่อบ้าง แต่เพราะความคาดหวังต่อ Unlimited QE มันสูง ความผันผวนของตลาดมันเลยสุดโต่งแบบที่เราเห็น
ส่วนตัว ยังเชื่อว่า เงินท่วมโลกยังมีอิทธิพลอยู่สูง เมื่อตลาดลงมาถึงจุดหนึ่ง เงินเหล่านี้ก็จะกลับเข้าตลาดหุ้นอีกรอบอยู่ดี
ยกเว้นก็แต่ว่า ถ้าเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯมันทรุดหนักจนเกินจะเยียวยาจริงๆ เจอแบบนั้น ผมก็คงต้องหนีไปทองแทนละครับ
Mr.Messenger รายงาน
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกบนเพจ MrMessengerDiary
บทความห้ามพลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญความเสี่ยงจากสภาพคล่องที่ลดลง
2 สิ่งที่อยากแชร์ให้นักลงทุนไทยก่อนเตรียมรับแรงกระแทก SET วันนี้