ราคาน้ำมันดิบ Brent ทยอยปรับตัวสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนสามารถยืนอยู่เหนือระดับ 40 เหรียญมาได้เป็นเวลาอาทิตย์นึงแล้ว แต่ราคาอาจไม่สามารถคงอยู่ในระดับนี้ได้นาน และ ยิ่งราคาปรับสูงขึ้นเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้ราคาปรับตัวลงไปนานมากขึ้นเท่านั้น !
ดูกราฟราคา>> สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์
บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ตลาดต่อเนื่องจากครั้งก่อนๆ หากต้องการอ่านย้อนหลังก็สามารถอ่านดูได้ตามคอมเม้นท์ที่แนบให้เลยนะครับ
ราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวขึ้นมาได้เพราะ
1. กลุ่มโอเปกสามารถลดกำลังการผลิตน้ำมันไปได้เร็วกว่าที่ตลาดคาด
2.การใช้น้ำมันเริ่มกลับมาแล้วจริงๆจากการปลด Lock Down
3. เงินทุนยังไหลเข้าตลาดน้ำมันและสินทรัพย์เสี่ยงเรื่อยๆตราบใดที่ตลาดหุ้นยังขึ้น
4. ขาขึ้นทางเทคนิคระยะสั้นอย่างชัดเจน
5. และค่าการกลั่นจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาที่สำคัญในอนาคต
แต่วันนี้เราจะไม่มาคุยกันเรื่องปัจจัยในระยะสั้นเหล่านี้นะครับ เพรายังมีอีกปัจจัยที่สำคัญมากที่ตลาดยังไม่ได้กล่าวถึงที่จะเป็นตัวแปลสำคัญต่อ ราคาน้ำมันในระยะยาวได้
ยิ่งราคาปรับสูงขึ้นเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้ราคาปรับตัวลงไปนานมากขึ้นเท่านั้น แปลว่าอย่างไร ?
ทุกท่านจำเหล่าบริษัทน้ำมันเชลออยล์ของสหรัฐที่กำลังเกือบจะล้มละลายกันไปเป็นแถวหลังเกิดสงครามราคาน้ำมันขึ้นได้ไหมครับ ? และต้องปิดการผลิตไปกว่า 20% แล้วในสหรัฐ ตอนนี้พวกเขาเหล่านี้กำลังได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอนในตลาด และ ซาอุดิอาระเบียยังสามารถขยี้ธุรกิจของพวกเขาได้ทุกเมื่อ หากว่าทางซาอุต้องการ
เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ราคาน้ำมันมีโอกาศปรับตัวสูงขึ้นทางกลุ่มผู้ผลิตเหล่านี้กำลังจ้องหาจังหวะในการขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า เพื่อเป็นการ บริหารความเสี่ยง หรือ Hedging อยู่ตลอดเวลา !
เพราะการขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าที่ราคาสูงกว่าต้นทุนของพวกเขาได้นั้น จะเป็นการประกันว่าพวกเขาจะสามารถผลิตน้ำมันได้แบบนี้ยาวๆไปตลอด แม้ว่าทางซาอุจะมาเริ่มต้นสงครามราคาอีกครั้งพวกเขาก็จะไม่กลัว เพราะหากราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงหากพวกเขาขายสัญญาล่วงหน้าไว้แล้วพวกเขาก็สามารถนำน้ำมันไปส่งมอบได้ด้วยราคาที่ขายไป หรือจะได้รับเงินชดเชยกลับมาจากสัญญาอนุพันธ์เหล่านี้ (คล้ายกับการประกันราคาความเสี่ยงของ Mexico ที่เราเคยเล่าให้ฟัง เดี๋ยวจะแนบให้ในคอมเม้นท์อีกทีนะครับ)
และการอาศัยจังหวะที่ราคากำลังดีดตัวขึ้นในระยะสั้นนี้เพื่อทำการประกันราคาในระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตทั่วโลกกำลังจับตามอง โดยเฉพาะผู้ผลิตต้นทุนสูงในสหรัฐ
จะเกิดอะไรขึ้นหากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงกว่า 40 เหรียญ ?
เนื่องจากต้นทุนของน้ำมันเชลออยล์สหรัฐนั้นอยู่ที่ระดับ 30-50 เหรียญต่อบาร์เรล แปลว่าราคาที่สูงกว่าระดับนี้จะทำให้บริษัทต่างเร่งเข้ามาขายสัญญาล่วงหน้า และจะทำให้เกิดแรงเทขายที่มหาศาลมาก ! เพราะเหล่าบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ขายแค่ปริมาณที่พวกเขาผลิตได้ในปัจจุบันเท่านั้น แต่จะเข้ามาเทขายด้วยกำลังการผลิตในอนาคตของพวกเขาด้วย ! เพราะการขายสูงกว่าต้นทุนจะเป็นการประกันว่าพวกเขาจะได้ผลิตน้ำมันเหล่านั้นจริงๆ และราคาน้ำมันก็จะซึมยาว
ลองทำตัวเลขคร่าวดู หากบริษัทน้ำมันในสหรัฐที่มีกำลังการผลิต 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกมาทำการขายสัญญาล่วงหน้า 3 ปี = 10 x 365 x 3 = 11,000 ล้านบาร์เรล โดยหากขายที่ 40 เหรียญต่อบาร์เรลก็จะนับเป็นเงินมูลค่า 4.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ !
ในระยะสั้นนั้น ตลาดจะมีเงินทุนที่ไหลเข้ามาซื้อราคาน้ำมันเกิน 4.4 แสนเหรียญสหรัฐหรือไม่ ? ถ้ายังมีไม่ถึงก็อย่าหวังว่าตลาดจะสามารถทะลุแนวต้านในระดับ 40-50 เหรียญนี้ไปได้เลย (หลักๆจะหมายถึง WTI) เพราะผู้ผลิตจะทยอยเข้ามาเทขายอย่างต่อเนื่อง
เหตุผลเดียวที่จะทำให้ราคาทะลุแนวต้านนี้ไปได้คือ ต้องมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นปัจจัยบวกมากๆ เช่นการสู้รบในตะวันออกกลางหรือเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้ผู้ผลิตเหล่านี้หยุดการขายสัญญาล่วงหน้าไว้ก่อน
ดูกราฟราคา >> สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI
รูปแบบของสัญญาล่วงหน้าจะมีความสำคัญมากๆต่อตลาด
ตอนนี้ราคาน้ำมันขึ้นมาอย่างเร็วเกินไป โดยการขึ้นมาครั้งนี้ราคาน้ำมันในระยะยาวยังคงเป็น Contango (หรือราคาน้ำมันดิบในอนาคตสูงกว่าในปัจจุบันอยู่) ทำให้การขายสัญญาล่วงหน้านั้นง่าย และนี่ เป็นความท้าทายของกลุ่มโอเปกอย่างมาก
เพราะทางโอเปกคงไม่ต้องการให้ผู้ผลิตต้นทุนสูงอย่างสหรัฐและประเทศอื่นๆ เข้ามาใช้โอกาสนี้ในการบริหารความเสี่ยงและกลายมาเป็นผู้ผลิตที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในอนาคตแน่
ทางเดียวที่โอเปกจะสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าตัวเองยังขายราคาน้ำมันได้แพงแต่เหล่าผู้ผลิตอื่นๆไม่สามารถบริหารความเสี่ยงได้นั้นคือการ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งให้ราคาน้ำมันรีบขึ้น รอให้สภาพตลาดกลับตัวเป็น Backwardation เต็มตัวก่อนแล้วค่อยดันตลาดระยะสั้นขึ้น
เพราะหากตลาดเป็นขาขึ้นในรูปแบบ Backwardation (ราคาน้ำมันดิบในอนาคตต่ำกว่าในปัจจุบัน) จะทำให้ทางผู้ผลิตอื่นๆไม่สามารถขายราคาล่วงหน้าได้ง่ายๆ เพราะราคาในอนาคตอาจจะไม่สูงเท่ากับต้นทุนของพวกเขา
สรุป แรงเทขายเหล่านี้จะเป็นแนวต้าน ไม่ใช่แรงที่จะทำให้ราคาลดลงหนักๆ และเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยเท่านั้น ข้อ 1-5 ด้านบนที่กล่าวไว้อาจมีผลในระยะสั้นมากกว่า
และนี่ก็คืออีกหนึ่งปัจจัยในตลาดที่จะมีความสำคัญมากๆ ต่อราคาน้ำมันตลอดจนสิ้นปีนี้
ท่านใดเห็นว่าบทความวิเคราะห์ตลาดน้ำมันในมุมนี้มีประโยชน์ไหม ? หรือเข้าใจได้ยากง่ายแค่ไหน ? กรุณาช่วยเขียนคอมเม้นท์เข้ามาช่วยให้ความเห็นด้วยนะครับ ทางเราจะได้ปรับปรุงบทความของเราต่อไปในอนาคต
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวและวิเคราะห์ตลาดน้ำมันไปกับเพจเราได้ แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ
#ทันโลกกับTraderKP #OilTraderKP
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP
........
บทความห้ามพลาด
Goldman Sachs ฟันธงราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวลดลง -17% ภายใน 2 อาทิตย์นี้
BP ต้องปลดพนักงานออก 10,000 ชีวิต! การปรับโครงสร้างครั้งนี้ชี้ชัดว่า...