ขอขอบคุณภาพประกอบจาก:CQG
- ปี 2018 ถึง 2019 คือช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผู้ปลูกกาแฟ
- บราซิลคือประเทศผู้ส่งออกกาแฟเป็นหลัก
- พฤติกรรมราคาช่วงปี 2008 -2011 สามารถบอกอะไรบางอย่างแก่สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มเกษตร
กาแฟถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทหนึ่งที่ถูกจัดให้อยู่ในสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทการเกษตรที่มีตลาดการซื้อขายกาแฟอาราบิก้าล่วงหน้าในตลาด ICE สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเป็นตัวแปรของสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มการเกษตรคือสภาพอากาศที่มีผลกระทบต่อการเติบโตของสินค้าเกษตรในพื้นที่ต่างๆ ของโลกและเพราะกาแฟถือเป็นสินค้าที่มีอายุการบริโภคสั้นดังนั้นการเก็บกาแฟเอาไว้เป็นเวลานานจึงไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับวงการนี้
ในขณะที่ฝั่งผู้ผลิตมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องจัดการกับกาแฟให้เหมาะสมแต่ในแง่ของความต้องการแล้วกลับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ จากข้อมูลของการสำรวจสำมโนประชากรสหรัฐฯ เผยว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโลกเรามีมนุษย์เพิ่มขึ้น 6 ล้านคนคิดเป็น 27.5% หรือรวมแล้วทั้งสิ้น 7,650 ล้านคน นอกจากนี้กาแฟยังได้รับความนิยมในฝั่งเอเชียเพิ่มมากขึ้น สามารถดูได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการดื่มชาเป็นกาแฟและในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแบรนด์กาแฟชื่อดังอย่างสตาร์บัคส์ (NASDAQ:SBUX) สามารถขยายสาขาได้มากกว่า 5,000 สาขาในประเทศจีน นี่ยังไม่นับแบรนด์กาแฟอื่นๆ อีกมากมายที่เห็นกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ของโลก จากสาเหตุนี้ทำให้ปริมาณความต้องการเมล็ดกาแฟเพิ่มสูงขึ้นและความสามารถในการผลิตกาแฟต้องสามารถผลิตได้มากพอเพื่อรองรับความต้องการกาแฟของคนทั้งโลก
ตั้งแต่ช่วงต้นปี 1970 เป็นต้นมาตลาดซื้อขายล่วงหน้าของกาแฟในตลาด ICE มีราคาเทรดต่ำสุดอยู่ที่ 41.50 เซนต์และเคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $3.375 ต่อปอนด์ ล่าสุดด้วยความผันผวนของตลาดกาแฟทำให้ราคาปรับตัวลดลงไปอยู่ต่ำกว่า $1 และเข้าใกล้จุดต่ำสุดในระยะยาว
ปี 2018 ถึง 2019 คือช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผู้ปลูกกาแฟ
ก่อนถึงปี 2018 ครั้งสุดท้ายที่ราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าในตลาด ICE มีราคาเทรดต่ำกว่า $1 ต่อปอนด์คือปี 2006
จากกราฟรายไตรมาสในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าตลาดการซื้อขายกาแฟล่วงหน้าปรับตัวลดลงไปยังจุดต่ำสุดในรอบ 12 ปีที่ 92 เซนต์ต่อปอนด์ ในปี 2019 ราคาได้ลงไปยัง 86.35 เซนต์ซึ่งเราไม่ได้เห็นตัวเลขนี้มานับตั้งแต่ปี 2005 ถึงกระนั้นแม้ราคาจะเคยลงไปหาจุดต่ำสุดอย่างไรกราฟการซื้อขายกาแฟก็ยังสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้ในปีนั้นๆ ปี 2018 กลับขึ้นมาที่ $1.255 และปี 2019 ขึ้นมาที่ $1.3840 ต่อปอนด์ ตลอดระยะเวลา 2 ปีนั้นกราฟการซื้อขายกาแฟล่วงหน้าสร้างทั้งจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าเดิมและจุดสูงสุดที่สูงขึ้นกว่าเดิม
แต่จุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปีเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วโดยมีจุดสูงสุดอยู่ที่ $3.0625 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดียวกันกับเมื่อปี 2011 สาเหตุที่จุดต่ำสุดในรอบ 10 ปีเกิดขึ้นในปี 2019 ได้เพราะตลาดลงทุนมองว่าตลาดการซื้อขายกาแฟมาถึงจุดอิ่มตัวแล้วแม้ว่าฝั่งอุปทานจะสามารถผลิตกาแฟออกมารองรับความต้องการของผู้บริโภคได้ทั่วโลกก็ตาม
บราซิลคือประเทศผู้ส่งออกกาแฟเป็นหลัก
นอกจากจะเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลเป็นหลักแล้วบราซิลยังขึ้นชื่อในเรื่องการส่งออกเมล็ดกาแฟอาราบิก้าด้วย หากว่าดอลลาร์สหรัฐฯได้รับการยกย่องว่าเป็นสกุลเงินสำรองอันดับหนึ่งของโลกแล้วจะมองว่าสกุลเงินเรียลของบราซิลมีกาแฟเป็นตัวผูกติดมูลค่าเอาไว้ก็คงจะไม่กล่าวเกินไป ในยามที่บราซิลมีตัวเลขการส่งออกไม่ดีเมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลกก็ส่งผลให้สกุลเงินเรียลอ่อนมูลค่าลงไปด้วย ครั้งหนึ่งสกุลเงินเรียลเคยร่วงลงเหมือนกับหินที่ตกจากที่สูงลงสู่พื้นในปี 2011
กราฟเทียบสกุลเงินดอลลาร์เทียบเรียลบราซิลแสดงให้เห็นว่ากราฟปรับตัวลดลงจาก $0.65095 ในปี 2011 ลงมายังจุดต่ำสุดล่าสุดที่ $0.1673 เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2020 ในตอนที่ราคากาแฟเคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $3.0625 ในปี 2011 ตอนนั้นสกุลเงินเรียลของบราซิลก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมาราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้ามีราคาอยู่ที่ 96.00 เซนต์ต่อปอนด์ในขณะที่กราฟ USD/BRLมีราคาเทรดอยู่ที่ $0.18380 จากรายละเอียดนี้จึงสรุปได้ว่าครั้งสุดท้ายที่สกุลเงินเรียลมีราคาขึ้นเหนือ $1 ต้องย้อนกลับไปไกลถึง 9 ปีเลยทีเดียว
อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าบราซิลไม่ได้ส่งออกเฉพาะกาแฟเป็นหลักแต่บราซิลยังเป็นผู้นำในด้านการผลิตน้ำตาล,ส้ม,เอทานอลกับผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาผลผลิตในปีนั้นดีขึ้นก็จะส่งผลให้สกุลเงินเรียล เกษตรกรและภาครัฐของบราซิลมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและได้กำไรมากตามไปด้วย
พฤติกรรมราคาช่วงปี 2008 -2011 สามารถบอกอะไรแก่สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มเกษตร?
วิกฤตทางการเงินในปี 2008 สร้างความผันผวนทางเศรษฐกิจและทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องกู้เงินมากมายเพื่อกระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจทั่วโลกเอาไว้ ในปี 2008 ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนกันยายน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ต้องกู้ยืมเงินมาจำนวน $530,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและในปี 2020 ที่โดนไวรัสโคโรนาเล่นงานกระทรวงการคลังก็ต้องยืมเงินมาอีก $3,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมีการกู้ยืมเพิ่มอีกหรือไม่
สาเหตุหลักที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลได้เมื่อปี 2011 เพราะในตอนนั้นมีความล่าช้าไปมากกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้รับการอนุมัติซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องในการใช้เงินเพื่อมาซื้อสินค้าการเกษตร ยิ่งไปกว่านั้นผู้ผลิตสินค้าการเกษตรยังลดกำลังการผลิตฯ ลงเพราะจำเป็นต้องลดความเสี่ยงที่พืชผลทางการเกษตรอาจจะไม่สามารถขายได้
ในโลกของสินค้าโภคภัณฑ์หากจะแก้ปัญหาวิกฤตราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำก็ต้องแก้ในช่วงที่ราคาตกต่ำ เมื่อความต้องการมีมากในขณะที่ราคาตกต่ำจะส่งผลให้เกษตรกรหยุดปลูกและหันมาปล่อยของที่เก็บอยู่ในคลังแทน ในปี 2011 ปัญหาเงินฟืดทำให้ราคาสินค้าเกษตรหลายรายการปรับตัวสูงขึ้นและในปี 2020 นี้เช่นกันที่มีความเป็นไปได้ว่าราคาสินค้าทางการเกษตรอาจได้โอกาสกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แม้รัฐบาลจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วแต่สิ่งที่ผู้บริโภคมักเลือกทำในยามวิกฤตคือเก็บเงินไว้และจะนำไปสู่ปัญหาภาวะเงินฟืดในที่สุด
กราฟรายไตรมาสของราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าในตลาด ICE ในปี 2008 แสดงให้เห็นช่วงที่ราคาลงมาสร้างจุดต่ำสุดในปีนั้นที่ $1.017 ก่อนที่ปี 2011 กราฟจะสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ $3.0625 ตอนนี้ในปี 2020 ที่ราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าอยู่ต่ำกว่า $1 ต่อปอนด์และปัญหาอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ กำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นยิ่งทำให้ราคากาแฟและสกุลเงินเรียลมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกครั้งเมื่อเทียบกับดอลลาร์