Small & Mid-caps should continue to outperform / Bunker stocks amid U.S. vs. China tension
U.S. vs. China: สถานการณ์ของทั้ง 2 ประเทศเริ่มมีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น หลังที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) มีมติเห็นชอบวานนี้ให้บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง แนะนำติดตามการโต้ตอบของสหรัฐฯอย่างใกล้ชิดซึ่งล่าสุดปธน.โดนัลด์ทรัมป์เตรียมเปิดแถลงการณ์ต่อสื่อเกี่ยวกับนโยบายที่จะดำเนินต่อจีนในวันนี้ตามเวลาสหรัฐฯ รวมไปถึงการการตอบโต้กลับของจีน ซึ่งล่าสุดเช้านี้ จีนได้กำหนดค่ากลางเงินหยวนอ่อนค่ามากขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.1316 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง
- :จากปัจจัยข้างต้น คาดการณ์ SET Index เปิดตลาดในแดนลบ สอดคล้องกับตลาดหุ้นเอเชียและดัชนี futures แต่น่าจะแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นจากการที่นลท.ต่างชาติถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำแล้ว ทั้งนี้ในสถานการณ์ที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนมีมากขึ้น เรายังมองเช่นเดิมว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นขนาดกลาง-เล็กปรับตัว Outperform หุ้นขนาดใหญ่ต่อไปได้จาก Liquidity และ Risk appetite ของนักลงทุนภายในประเทศ ซึ่งล่าสุดหุ้นขนาดเล็ก-กลางเหล่านี้ปรับตัว Outperform ทำสถิติใหม่เรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดด้านล่าง)
- Bunker: ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น คาดว่านักลงทุนทั่วโลกจะเริ่มลดน้ำหนักพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Cyclical ลง อาทิเช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นและน่าจะทำให้กลุ่ม Domestic play หรือกลุ่ม Defensive ปรับตัว Outperform ได้ในช่วงนี้ มองกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการ
- Selective ในสภาวะที่ปัจจัยภายนอกวุ่นวายมากขึ้นได้แก่
- กลุ่มโรงไฟฟ้าได้แก่ BGRIM, GPSC, GULF, RATCH, EGCO
- กลุ่มสื่อสาร ได้แก่ ADVANC, INTUCH
- กลุ่ม Mass transit ได้แก่BEM, BTS (อาจได้รับ Sentiment เชิงบวกจากการประกาศผ่อนปรนมาตรการ Lockdown ระยะที่ 3 ในวันนี้)
- กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ CPF, TFG, GFPTรวมถึงหุ้นขนาดเล็กอื่นๆในกลุ่มที่เราเคยแนะนำ
- กลุ่มธุรกิจ AMC ได้แก่JMT
- กลุ่มที่อาจเป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในตลาดจากปัจจัยสงครามการค้าได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น AMATA (ไม่เลือก WHA เพราะคาดการณ์เตรียมหลุดออกจากดัชนี SET50)
- Valuation: SET Index ยังคงเดินหน้าทำลายทุกสถิติ Valuation อย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดมิติ Valuation ที่กลับเข้าสู่ระดับสมดุลนั่นก็คือในส่วนของ Earning yield gap (Earning yield ของ SET เทียบกับ Bond yield 10 ปีของไทย)ซึ่งล่าสุดวานนี้อยู่ที่ระดับ 3.9% ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ที่ค่านี้ลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2013(รูปที่ 2)อย่างไรก็ดี คาดการณ์ในระยะสั้น SET จะยังถูกประคับประคองต่อไปได้ จาก 3 ปัจจัยสนับสนุนที่เรากล่าวมาตลอด ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่เกิดขึ้นวานนี้ก็คือ มูลค่าการ Short sales ที่หายไปเหลือเพียง 600ล้านบาท แนะนำติดตามต่อในวันนี้ว่าด้วยปัจจัยภายนอกที่เป็นเชิงลบมากขึ้นนี้ จะนำมาสู่มูลค่าการ Short sales ที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities
|
|
-
|