มีเหตุผลรองรับหลายประการที่สามารถทำให้นักลงทุนเชื่อได้ว่าสัปดาห์นี้จะเป็นการเริ่มต้นสัปดาห์แห่งการลงทุนที่ดีและบรรยากาศเชิงบวกนี้ก็สะท้อนออกมาในตลาดหุ้นและตลาดฟอเร็กซ์เมื่อวานนี้ ข่าวแรกบริษัทโมเดอร์นา (NASDAQ:MRNA) ซึ่งเป็นบริษัทในธุรกิจไบโอเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกามีรายงานข่าวดีข่าวแรกกับการทดสอบวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาในมนุษย์ อาสาสมัคร 45 คนที่เข้าร่วมโครงการหลังจากได้รับยาตัวนี้ไปแล้วสามารถสร้างแอนติบอดี้ต้านทานไวรัสโควิด-19 ได้ อย่างไรก็ตามทางบริษัทก็ได้บอกว่าหากสถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่นเราจะสามารถจำหน่ายยาตัวนี้ในตลาดได้ภายในช่วงต้นปี 2021 นอกจากนั้นแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังบอกอีกว่ายังไม่มีผลสรุปยืนยันออกมาชัดเจนว่าหลังจากรับยาไปแล้วผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีโอกาสกลับมาติดอีก แม้จะเป็นความหวังเล็กๆ แต่ก็สว่างพอที่จะทำให้นักลงทุนในตลาดเชื่อได้ว่าพวกเขาผ่านจุดต่ำสุดของช่วงวิกฤตโควิด-19 มาแล้วจริงๆ
ข่าวดีที่สองมาจากรายละเอียดการให้สัมภาษณ์ของประธานเฟดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง นายเจอโรม พาวเวลล์ให้ความเชื่อมั่นกับนักลงทุนว่า “แม้ตัวเลข GDP อาจลดลงมากถึง 20%-30% แต่เราจะเริ่มได้เห็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคงในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 และอาจจะลากยาวไปจนถึงสิ้นปีเลยก็เป็นได้ สหรัฐอเมริกาจะสามารถกลับเข้าสู่เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจเดิมได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 และประเทศของเราจะไปได้ไกลกว่านั้น ผมมีความมั่นใจอย่างนั้นและเราขอเวลาอีกไม่นานในการไปให้ถึงจุดนั้น” อนึ่งเฟดพึ่งปฏิเสธการทำให้อัตราดอกเบี้ยติดลบมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและนั่นคือสาเหตุของแนวโน้มขาขึ้นของกราฟ USD/JPY
ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มยืนยันให้เห็นแล้วว่าตลาดหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วจริงๆ จากตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของเอ็มไพร์ สเตตและดัชนีวัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยมหาลัยมิชิแกน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมเพิ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับของเดือนมีนาคมและเมษายนที่ร่วงลงอย่างมหาศาล สัปดาห์นี้เราคาดหวังจะได้เห็นตัวเลขที่ออกมาดีขึ้นจากดัชนีภาคการผลิตที่รายงานโดยธนาคารกลางรัฐฟิลาเดเฟียและรายงานดัชนี PMI ภาคเศรษฐกิจจาก Markit ข้อมูลตัวเลขยอดที่อยู่อาศัยอาจจะยังเป็นตัวเลขที่ไม่ดีมากนักและรายงานการประชุมจากคณะกรรมการนโยบายทากงารเงิน (FOMC) คือสิ่งที่ต้องจับตามอง นักลงทุนมีความหวังกับข่าวเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนมากยิ่งขึ้น
สกุลเงินออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ดอลลาร์ยังคงเป็นผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเมื่อวานนี้แม้ว่าดัชนี PMI ภาคบริการของนิวซีแลนด์จะออกมาต่ำที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ซึ่งสาเหตุก็มาจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีนที่ล่าสุดทางสหรัฐฯ ออกมาประกาศห้ามขายชิปให้กับหัวเว่ย ประเทศจีนก็ออกมาตอบโต้ว่าจะใช้มาตรการกับบริษัทของสหรัฐฯ ในประเทศจีนเช่นกัน อย่างไรก็ตามสกุลเงิน ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเพราะท่านผู้นำสี จิ้นผิงของจีนได้ออกมาประกาศว่าเขาจะใช้อำนาจทุกอย่างที่เขามีในการให้ข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับโควิด-19 และจะมีงบมากถึง $200,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการช่วยเหลือประเทศอื่นๆ ภายใน 2 ปี ที่สำคัญนายสี จิ้นผิงย้ำด้วยว่า “เมื่อวัคซีนพร้อมจีนจะเป็นผู้แบ่งปันยารักษานี้ให้กับมนุษยชาติ”
ถือเป็นการแข่งขันกันผลิตวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างดุเดือดระหว่างสหรัฐฯ - จีนซึ่งดูแล้วตอนนี้จีนถือไพ่ที่เหนือกว่าสหรัฐฯ เพราะจีนได้ทดสอบยาต้านไวรัสกับอาสาสมัครไปแล้ว 2000 คนและการพัฒนายาของจีนก็อยู่ในขั้นที่ 2 แล้วและจะข้ามไปยังขั้นที่ 3 ในเดือนสิงหาคมในขณะที่ยาวัคซีนของโมเดอร์นายังอยู่ในขั้นที่ 1 ผลจากการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) สรุปได้คร่าวๆ ว่าเศรษฐกิจออสเตรเลียหดตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 และตัวเลข GDP หดตัวไปประมาณ 10% ในไตรมาสที่ 2 เชื่อว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องแต่โดยรวมแล้วภาพรวมทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ ดีขึ้น สกุลเงิน แคนาดาดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 1% เพราะราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่ออีก 7%
สกุลเงินยูโรปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในช่วงตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดทำการหลังจากที่ตลาดได้ทราบข่าวว่าผู้นำของเยอรมันและฝรั่งเศสเตรียมงบประมาณไว้จำนวน 500,000 ล้านยูโรเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะกับประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นท่านผู้นำทั้งสองกำลังพิจารณาจะให้คณะกรรมการแห่งสหภาพยุโรปกู้ยืมเงินภายใต้ชื่อของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งจะทำให้พวกเขาเข้าใกล้กับยูโรบอนด์ไปอีกขั้นและจะทำให้ EU สามารถเพิ่มหนี้ได้ วันนี้ฝั่งยุโรปจะมีรายงานตัวเลขจากผลสำรวจของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) ซึ่งความน่าสนใจจะอยู่ที่ข้อมูลนี้จะบอกว่านักลงทุนได้มองผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดและเริ่มมองไปที่ความหวังในการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจมากขึ้นหรือไม่ หากข้อมูลจาก ZEW ออกมาดีขึ้นมีโอกาสที่กราฟ EUR/USD จะขึ้นไปยังระดับราคา 1.10
ปอนด์ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าความพยายามขึ้นของปอนด์ครั้งนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนเพราะกราฟยังคงรอข่าวตัวเลขเกี่ยวกับการจ้างงานของสหราชอาณาจักรอยู่ เมื่อประเทศส่วนใหญ่มีข้อมูลตัวเลขการจ้างงานออกมาเป็นลบกันแทบทั้งสิ้น สหราชอาณาจักรก็ไม่อาจหนีชะตากรรมนี้พ้นและเชื่อว่าตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในเดือนเมษายนจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 600,000 คน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโทงอาจลดลงส่วนอัตราการว่างงานจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ออกมาเป็นเช่นนั้นจริงปอนด์จะร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรหรือสกุลเงินหลักอื่นๆ