รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ภาพรวมตลาดลงทุนสัปดาห์นี้: ตลาดหุ้น, น้ำมันดิบสหรัฐ อาจทรุดจากข่าวการค้าสหรัฐ -จีน

เผยแพร่ 18/05/2563 13:05

- ราคาน้ำมันคือปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์
- ข้อมูลตัวเลขยอดขายปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเมื่อวันศุกร์คือตัวเลขที่แย่ที่สุด
- ทรัมป์ยังคงสกัดการขนส่งชิ้นส่วนอุปกรณ์สำคัญไปยังหัวเว่ยประเทศจีน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบดีดตัวสูงขึ้น 6.8% เมื่อนักวิเคราะห์เริ่มเชื่อว่าพวกเขาได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์หลังจากที่ต้องเจอมรสุมทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 และการปิดล็อกเมือง ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนของจีนสร้างความประหลาดใจที่สามารถมีตัวเลขที่สูงขึ้นได้ในขณะที่ตัวเลขผลผลิตที่ได้จากการขุดหินน้ำมันของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและไม่ได้อยู่ในการประเมินของนักลงทุน ข่าวดีก็คือเลขาธิการของโอเปกนาย Mohammed Barkindo กล่าวว่า “เราได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดของตลาดน้ำมันดิบในปี 2020 ไปแล้ว”

ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นขานรับข่าวดีทันทีแต่ก็ยังมีสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวลเมื่อตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีนเพิ่มสูงขึ้น

ความสงสัยเริ่มก่อตัวในกราฟขาขึ้นที่ไม่มีข้อมูลทางเศรษฐกิจหนุน

ก่อนสิ้นสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบ WTI ยังไม่มีความกล้าพอที่จะขึ้นมายืนเหนือระดับราคา $30 แม้ว่าจะปิดตลาดอย่างสวยหรูด้วยตัวเลขการปรับตัวสูงขึ้น 19% และตลอด 3 สัปดาห์ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยเปอร์เซนต์การปรับตัวสูงขึ้น 73.7%

จากรูปประกอบของกราฟราคาน้ำมันดิบ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI จะพบว่าราคากำลังอยู่ในช่วงทดสอบอยู่ว่าแนวโน้มขาขึ้นจะสามารถยืนอยู่ได้หรือไม่ ทำไมเราถึงคิดว่านี่คือการทดสอบเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ราคาน้ำมันดิบลงมาจนสร้างราคาติดลบได้และเพราะความผิดปกตินี้จึงทำให้นักลงทุนยังคงกลัวว่าขาขึ้นครั้งนี้จะยังไม่มั่นคงพอที่จะเป็นแนวโน้มระยะยาว ดังนั้นเราจึงวาดเส้น neckline ขึ้นมาเพื่อแบ่งเส้นระหว่างขาขึ้นกับขาลงให้ชัดเจน หากว่าราคาสามารถยืนเหนือเส้น neckline นี้ได้ถือว่าขาขึ้นครั้งนี้สอบผ่าน

แต่เมื่อพิจารณาจากภาพรวมของตลาดน้ำมันดิบในตอนนี้แล้วเราจะขอตีว่าแนวรับของกราฟน้ำมันดิบที่ลงมาในครั้งนี้สร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ที่ $10.07 และกลายเป็นส่วนหัวของรูปแบบหัวไหล่ (H&S) หากพิจารณาส่วนหัวอยู่ที่ $10 แล้วดังนั้นเท่ากับว่าตอนนี้ราคายังไม่ได้สร้างไหล่ขวา แนวต้านที่ $30 ซึ่งเป็น neckline จึงเป็นแนวต้านที่จะผลักราคาให้ลงไปสร้างไหล่ขวาก่อน

ดัชนีหลักๆ ปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 2.25% ส่วนดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 2.85% ถือเป็นสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมซึ่งเป็นวันที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ สร้างจุดต่ำสุดจากวิกฤตโควิด-19

รูปแบบราคาที่เกิดในดัชนีดาวโจนส์หลังจากกราฟทำรูปแบบ V-Shape (เส้นสีดำเข้ม) สะท้อนให้เห็นถึงความหวังของนักลงทุนขาขึ้นว่าพวกเขาหวังให้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาโดยเร็วก่อนที่กราฟจะเริ่มเบนออกจากกรอบสามเหลี่ยมลู่ขึ้น (rising wedge) และเริ่มสร้างรูปแบบหัวไหล่ของของขาลง อย่างไรก็ตามในช่วงสองวันล่าสุดที่มีแท่งเทียนขาขึ้นจะเห็นได้ว่าเป็นแท่งที่มีแรงซื้อมหาศาลที่ neckline ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าขาขึ้นยังคงมีแรงอยู่

แต่หากพิจารณาจากอินดิเคเตอร์อย่าง MACD และ RSI แล้วทั้งคู่แสดงให้เห็นว่าขาลงสามารถเอาชนะได้แล้วและถึงโอกาสที่ขาลงจะขอทดสอบความหนักแน่นของขาขึ้นในครั้งนี้บ้าง แม้สัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 8 สัปดาห์แต่กลับไม่ใช่สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากวิกฤตโควิดอย่างเช่น Nvidia (NASDAQ:NVDA) และ Netflix (NASDAQ:NASDAQ:NFLX) ที่ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้สำเร็จ

ท่ามกลางความหวัง ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจยังคงคอยตอกย้ำนักลงทุนให้ออกห่างจากตลาดกระทิงอยู่เสมอทุกสัปดาห์ ล่าสุดทั้งตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดขายปลีกมีตัวเลขออกมาแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของการรายงานตัวเลขทั้งสอง เศรษฐกิจโลกยังคงไม่ดีขึ้นแม้แต่ประเทศเยอรมันที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรปยังพลาดก้าวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเรียบร้อย ข้อมูลจากฝั่งจีนก็ชี้ให้เห็นว่าภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจระยะยาวกำลังรอมนุษยชาติอยู่ข้างหน้า

นอกจากนั้นปัญหาความตึงเครียดทางการฑูตระหว่างสหรัฐฯ - จีนซึ่งเป็น 2 ประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกยิ่งจะเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าหนักเข้าไปอีก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศกำลังมุ่งหน้าเข้าใกล้กับคำว่า “สงครามเย็น” เข้าไปเรื่อยๆ หลังจากที่ทางทำเนียบข่าวเผยว่าจะมีการสกัดไม่ให้ส่งชิปคอมพิวเตอร์หรือผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ไปให้กับบริษัทหัวเว่ยของจีน

นอกจากเรื่องของหัวเว่ยแล้วยังรวมไปถึงการที่กองทุนสำหรับผู้เกษียณสหรัฐฯ จะไม่ลงทุนเงินจำนวน $600,000 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดดัชนีซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นของประเทศจีนและข่าวร้ายที่สุดคือการที่ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแล้วพูดว่าตอนนี้เขาไม่อยากพูดกับผู้นำจีนนาย สี จิ้นผิง แม้สักประโยค

กราฟพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นหลังจากที่อยู่ในตลาดขาลงมานานเป็นสัปดาห์

กราฟพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีเจอแนวต้านซึ่งอดีตเคยเป็นแนวรับของแนวโน้มขาขึ้นมาก่อน (เส้นสีแดงบริเวณเส้นประสีดำ) ซึ่งลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 21 เมษายน เส้นดีแดงที่กล่าวถึงมีความชันเกือบจะใกล้เคียงกับเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นหลักพอดี

 

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เมื่อวันพฤหัสบดีกราฟเกือบจะสามารถขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดของวันที่ 1 เมษายนได้ แต่ไม่สำเร็จและปรับตัวลดลงมาก่อน

ส่วนโค้งที่แสดงอยู่ในอินดิเคเตอร์ RSI ตรงส่วนยอดของอินดิเคเตอร์แสดงให้เห็นว่าราคาได้ขึ้นมาทดสอบแนวต้านเรียบร้อย

ทองคำปรับตัวขึ้นเป็นเวลา 4 วันติดต่อกัน สร้างจุดสูงสุดใหม่ของเดือนพฤษภาคมได้สำเร็จ

ขาขึ้นของราคาทองคำเกิดขึ้นจากนักลงทุนบางส่วนไม่เชื่อว่าการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตอนนี้เป็นการบอกว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นยิ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นข้อมูลตัวเลขยอดขายปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม แต่ถ้าพูดกันในทางเทคนิคแล้วขาขึ้นครั้งนี้ได้รับแรงสนับสนุนมาจากการที่ราคาสามารถทะลุกรอบสามเหลี่ยมสมมาตรและไปต่อในทิศทางเดิม

 

กราฟบิทคอยน์สามารถยืนเหนือกรอบราคาขาลงที่ลากมาตั้งแต่จุดสูงสุดในเดือนมิถุนายนปี 2019 ได้เป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน

หากพิจารณาด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้วตอนนี้กราฟบิทคอยน์ได้สร้างแท่งเทียนรูปแบบกลืนกินของขาลงเมื่อวันพฤหัสบดีในบริเวณจุดสูงสุดของราคาที่อยู่ในระดับเดียวกันกับจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าขาขึ้นที่ดำเนินขึ้นมาอาจเพียงพอแล้วและราคาอาจจะกลับลงเข้าไปอยู่ในกรอบราคาขาลงใหญ่เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามต้องรอให้ราคาหลุดกรอบขาขึ้นย่อยในตอนนี้ลงมาให้ได้ก่อนจึงจะเป็นการยืนยันการกลับมาสู่แนวโน้มขาลงอีกครั้งอย่างแท้จริง อิลอน มัสค์ CEO ของบริษัทเทสลาได้ออกมาชื่นชมบิทคอยน์ว่า “สิ่งที่บิทคอยน์เป็นในตอนนี้ดูมีความน่าเชื่อถือกว่าเงิน QE จากธนาคารกลางสหรัฐฯ เยอะ”

ข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดถูกคำนวณเป็น EDT)

วันอาทิตย์

19:50 (ญี่ปุ่น) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะลดลงจาก -1.8% เป็น -1.2% แบบไตรมาสต่อไตรมาส

วันจันทร์

21:30 (ออสเตรเลีย) รายงานผลการประชุมจากธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA)

วันอังคาร

02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานจำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 12.1K เป็น 150.0K

05:00 (เยอรมัน) รายงานผลสำรวจบรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW): คาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นจาก 28.2 เป็น 33.5

08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขใบอนญาตก่อนสร้าง: คาดว่าจะลดลงจาก 1.350M เหลือ 1.000M

21:30 (ประเทศจีน) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกลางแห่งประเทศจีน: ปัจจุบันมีตัวเลขอยู่ที่ 3.85%

วันพุธ

02:00 (สหราชอาณาจักร) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): คาดว่าจะลดลงจาก 1.5% ในเดือนก่อนหน้าเหลือ 0.8% ในเดือนเมษายน

05:00 (ยูโรโซน) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): คาดว่าจะลดลงจาก 0.7% เหลือ 0.4% แบบปีต่อปี

08:30 (แคนาดา) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): คาดว่าจะลดลงจาก 0.6% เหลือ 0.5% ในเดือนเมษายน

10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -0.745M เป็น 4.147M

14:00 (สหรัฐฯ) รายงานผลการประชุมจาก FOMC

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

วันพฤหัสบดี

04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 32.6 เป็น 33.5

04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนี PMI ภาคการบริการ: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 13.4 เป็น 22.1

08:30 (สหรัฐฯ) รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน: สัปดาห์ที่แล้วมีจำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้นอีก 2,981K ทำให้จำนวนรวมตอนนี้มีผู้ตกงานเพิ่มขึ้่นเป็น 36 ล้านคนนับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม

08:30 (สหรัฐฯ) ดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดเฟีย: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -56.6 เป็น -45.0

10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายบ้านมือสอง: คาดว่าจะลดลงจาก 5.23M เป็น 4.30M

วันศุกร์

02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลขยอดขายปลีก: คาดว่าจะลดลงจาก -5.1% เป็น -16.5%

03:30 (เยอรมัน) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 34.5 เป็น 40.0
08:30 (แคนาดา) ตัวเลขยอดขายปลีกพื้นฐาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -15.6% เป็น -5.0%

 

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย