เมื่อวานนี้สหราชอาณาจักรได้ปล่อยข่าวรายงานเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาเป็นชุดเพื่อให้ข้อมูลสรุปผลกระทบที่เกิดจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งตัวเลขที่ออกมาสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดขาขึ้น ถามว่าประหลาดใจอย่างไร? คำตอบก็คือตัวเลขที่ออกมานั้นถึงจะแย่แต่ก็ออกมาดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เอาไว้
ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 1 ของสหราชอาณาจักรปรับตัวลดลง 2% จากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เอาไว้ที่ -2.5% อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ทำให้นักลงทุนในตลาดหมีประหลาดใจก็คือตัวเลข GDP แบบปีต่อปีที่ออกมาติดลบ 5.8% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลบมากที่สุดในประวัติศาสตร์การรายงานตัวเลข GDP แบบปีต่อปีของสหราชอาณาจักร สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานข่าวเกี่ยวกับตัวเลข GDP ของสหราชอาณาจักรว่า
“ตัวเลขยอดขายปลีกของสหราชอาณาจักรในเดือนเมษายนร่วงลง 19.1% จากตัวเลขยอดขายปลีกในปี 2019 ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1995 ที่เริ่มมีการบันทึกเก็บสถิติเรื่อยมา อีกตัวเลขหนึ่งที่สามารถบ่งบอกผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปิดล็อกเมืองได้เป็นอย่างดีคือดัชนีวัดการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดย Barclaycard ที่ปรับตัวลดลง 36.5% เมื่อเดือนที่แล้ว”
ความกังวลในตลาดลงทุนทุกวันนี้ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าตลาดไม่มีความมั่นใจมากเท่าไหร่กับความพยายามกลับมาเปิดเมืองเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้งในขณะที่โลกยังไม่มีระบบการจัดการที่ดีพอมารับมือกับไวรัสโควิด-19 ความกังวลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสหราชอาณาจักรด้วยเช่นกัน
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เผยว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่มรสุมทางเศรษฐกิจที่หนักที่สุดในรอบ 300 ปี โมเดลการคำนวณของแบงก์ชาติอังกฤษอ้างอิงมาจากตัวเลขการหดตัวทางเศรษฐกิจ 3% ซึ่งจากตัวเลข GDP ที่ออกมาตัวเลขที่ได้กลับมีเพียง 2% เท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเรารู้คืออุปสงค์อุปทานที่อยู่ในสกุลเงินปอนด์สเตอร์ลิงแสดงออกมาในรูปแบบของราคาและสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้คือกราฟกำลังมุ่งหน้าลงไปยังระดับราคา 1.2000 โดยที่มีโอกาสลงไปยัง 1.1500 ได้หากว่ายังไม่มีนักลงทุนฝั่งซื้อเข้ามาอุ้ม
ตั้งแต่เข้าสู่เดือนพฤษภาคมกราฟปอนด์เทียบดอลลาร์ยังไม่สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นจุดต่ำสุดของเดือนเมษายนก็ไม่สามารถขึ้นไปอยู่ระดับที่สูงกว่าจุดสูงสุดของเดือนมีนาคม 2 ปัจจัยนี้สนับสนุนความอ่อนแรงของแนวโน้มขาขึ้นเชิงโครงสร้างซึ่งได้รับการยืนยันโดยอินดิเคเตอร์ ROC ส่วน RSI ที่เป็นอินดิเคเตอร์วัดโมเมนตัมเหมือนกันแต่คำนวณต่างกันก็แสดงให้เห็นว่าแนวรับอาจจะไม่สามารถยันราคาเอาไว้ได้
จากรูปจะเห็นว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดสูงสุดของเดือนมีนาคมและจุดต่ำสุดของเดือนเมษายนลากมาจนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญกราฟได้สร้างรูปแบบหัวไหล่ (H&S) ของขาลงเสร็จเรียบร้อยแต่การที่ราคายังสามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดของเดือนเมษายนได้อยู่แสดงว่ากราฟ GBP/USD ยังมีแรงซื้อหลงเหลืออยู่ เมื่อมาพิจารณาที่เส้นค่าเฉลี่ยพบว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ได้อยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA เป็นครั้งแรกคิดเป็นการปรับตัวลดลงมา 5% ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา
โดยสรุปแล้วตอนนี้ RSI ได้หลุดเส้นเทรนด์ไลน์ลงมาเรียบร้อยและเส้น MA ระยะสั้นในอินดิเคเตอร์ MACD ก็ตัดลงมาแล้วซึ่งอินดิเคเตอร์ทั้งสองส่งสัญญาณบอกแล้วว่ากราฟกำลังมุ่งหน้าลง
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าราคาสามารถเจาะ neckline ลงมามากกว่า 3% ยิ่งมีราคาปิดต่ำกว่า 1.2000 ยิ่งดี จากนั้นจะรอให้ราคาย่อกลับขึ้นไป มีแท่งเทียนยืนยันขาลงแล้วจึงวางคำสั่งขาย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอการเจาะ neckline เช่นกันแต่จะรอเพียง 2% เท่านั้นอย่างน้อยก็เพื่อหนีสัญญาณหลอก ยิ่งกราฟมีราคาปิดต่ำกว่า 1.21 ได้ยิ่งดี จากนั้นจะรอการดีดกลับของราคาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ไม่ชอบความเสี่ยงแต่จะไม่รอแท่งเทียนยืนยันขาลงเพื่อให้ได้จุดเข้าที่คุ้มค่าความเสี่ยงกว่า
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะเทขายทันทีเมื่อพร้อมซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้มีความเข้าใจในเรื่องของความเสี่ยงเป็นอย่างดี พวกเขารับความเสี่ยงได้หากว่าราคาลงไปจนถึงระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้วมีการดีดกลับทันที พวกเขามีแผนการเทรดที่จัดมาแล้วแม้ว่าจะต้องขาดทุนจาก 1 ออเดอร์ซื้อขายแต่นั่นก็ไม่มากพอที่จะกินกำไรที่ทำได้ทั้งหมด
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: 1.2300
- Stop-Loss: 1.2500
- ความเสี่ยง: 200 จุด
- เป้าหมายในการทำกำไร:1.1700
- ผลตอบแทน: 600 จุด
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3