🟢 ตอนนี้ตลาดกำลังทะยานขึ้น สมาชิกผู้ใช้บริการของเรากว่า 120K คน ต่างรู้ดีว่าควรทำอย่างไร คุณก็สามารถรู้ได้เช่นกันรับส่วนลด 40%

ภาพรวมตลาดประจำสัปดาห์นี้: ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นด้วยแรงแห่งความหวัง, น้ำมันดิบยังผันผวน

เผยแพร่ 20/04/2563 13:21
US500
-
CL
-
IXIC
-
  • ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นกับความหวังอันน้อยนิดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นคืน การปิดเมืองจะจบลง

  • กราฟพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มุ่งหน้ากลับสู่จุดต่ำสุดใหม่ตลอดกาล (all-time lows) อีกครั้ง

  • ตลาดได้เห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ

  • ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นมาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ติดแล้วและในสัปดาห์นี้เรามองว่าขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความหวังน้อยนิดที่มีมากขึ้นของนักลงทุนเมื่อบรรยากาศของคนในชาติเริ่มเปลี่ยนไปจากความกลัวที่มีต่อโรคระบาดกลายเป็นความหวังบนความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะลดความคุมเข้มที่มีต่อการปิดเมืองมากขึ้น ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมาตลอด 2 สัปดาห์ติดคิดเป็น 3% ถือเป็นการอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นนานที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์

     

    ความหวังอันริบหรี่ Vs ความเป็นจริงที่โหดร้าย

     

    เรากล้าพูดว่า Investing.com ไม่ใช่สำนักข่าวเดียวที่ไม่เชื่อในแนวโน้มขาขึ้นครั้งนี้ คุณไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่าในขณะที่นักลงทุนกำลังทยอยซื้อหุ้นและดันตลาดหลักทรัพย์ ดัชนี ให้ปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ปัจจุบันทั้งโลกมีตัวเลขรวมแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 2,330,000 รายและมียอดผู้เสียชีวิตเกือบแตะ 161,000 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ เองมีตัวเลขยืนยันผู้ติดเชื้อมากถึง 735,000 คน

     

    ถึงอย่างนั้นตลาดหุ้นก็ยังสามารถขึ้นได้ด้วยความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อธนาคารและรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ว่าพวกเขาจะสามารถทำให้สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นและนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผล ในด้านของการแพทย์ประชาชนก็เชื่อว่าสาธารณสุขของประเทศจะสามารถหาวัคซีนรักษาได้โดยเร็วที่สุด

     

    อย่างไรก็ตามความเป็นจริงที่มีนั้นห่างไกลกับโลกอุดมคติด้านบนมาก ผู้ที่ดูแลเรื่องการผลิตยาวัคซีนคนเดียวกันกับที่ฝ่ายอุดมคตินำมาอ้างพูดด้วยตัวเองเช่นกันว่าข้อสรุปของวัคซีนที่สามารถใช้และได้ผลกับโควิด-19 ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้และเขาไม่สามารถบอกวันที่วัคซีนจะออกมาได้อย่างเต็มปาก คำพูดนี้ฟังแล้วคล้ายกับคำพูดของแพทย์ในช่วงปี 1980 ที่พูดถึงโรค HIV และ AIDS เป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็ 35 ปีมาแล้วที่เราอยู่ร่วมกันโรคทั้งสองมาโดยที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ จริงอยู่ว่าปัจจุบันมียาที่ทำให้คนที่ติด HIV หรือ AIDS สามารถอยู่กับเราได้นานขึ้น (บางคนอยู่ได้นานถึง 10 ปีถ้าดูแลตัวเองดีๆ) แต่กว่าที่ยารักษานั้นจะออกมาได้เราใช้เวลาเป็นปีถึงสามารถทำสำเร็จ

     

    คลื่นไวรัสที่สาดเข้ามายังไม่ทันหายเปียกตอนนี้สัญญาณคลื่นเศรษฐกิจถดถอยที่หนักกว่าและใหญ่กว่าได้ส่งสัญญาณมาถึงมนุษยชาติแล้วด้วยยอดตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ ที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติกาล 3 สัปดาห์ติด ล่าสุดสัปดาห์ที่แล้วพึ่งมีผู้ได้รับการยืนยันขอเข้ารับสวัสดิการว่างงานมากถึง 5.2 ล้านคน รวมแล้วทั้งสิ้นตอนนี้สหรัฐฯ น่าจะมีคนว่างงานมากถึง 22 ล้านคน ทำลายสถิติจำนวนงานที่มีมากที่สุดเมื่อเดือนมีนาคมปี 2009 เป็นที่เรียบร้อย

     

    ข้างล่างนี้คือตารางแสดงตัวเลขยอดคนตกงานมากที่สุดซึ่งจะเห็นได้ว่าครั้งนี้ตัวเลขคนตกงานถือว่าเยอะที่สุดมากกว่าวิกฤตครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา

     

     

    ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขยอดขายปลีกของเดือนมีนาคมลดลงมากกว่า 8% ส่วนแบบรายปีลดลง 16% ตัวเลขยอดจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้างก็ไม่รอด ในขณะที่ประเทศจีนก็มีตัวเลข GDP ไตรมาสแรกหดตัวลงเหลือ 6.8% ถือเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษภายใต้การบริหารของท่านสี จิ้นผิงเลยทีเดียว

     

    ถ้าถามเราว่าแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวลงแบบจีนไหม? เราก็สามารถตอบได้เลยว่า “แน่นอนสิครับ” ถ้าคู่ค้าคนสำคัญของสหรัฐฯ ยังหดตัวแล้วสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร แม้จะมีคนแย้งว่า “นี่อาจจะเป็นการหดตัวชั่วคราวก็ได้” แต่เมื่อเราพิจารณาจากกรณีของโรคเอดส์แล้วเราจำเป็นต้องประเมินในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนนั่นคือเราอาจจะไม่ได้ยารักษาเลยจนถึงปี 2021

     

    อย่างไรก็ตามในฐานะนักวิเคราะห์เราจำเป็นต้องวิเคราะห์ในสิ่งที่พฤติกรรมราคาแสดงออกมา เมื่อกราฟปรับตัวสูงขึ้นเราก็ต้องมองว่านี่คือแนวโน้มขาขึ้น เรามองว่าราคาจะยังขึ้นต่อไปจนกว่าราคาจะเจอแนวต้านที่แข็งแกร่ง (3000 ถือเป็นแนวต้านแรกที่ต้องทดสอบ) และเมื่อนักลงทุนเกิดความกลัวที่มีต่อขาขึ้นในครั้งนี้และเริ่มหักหัวลง เราจะมาวิเคราะห์ให้ผู้อ่านได้ทราบอีกครั้ง

     

    ตลาดหุ้น ดัชนีสหรัฐฯ ล้วนแล้วแต่ปรับตัวขึ้นในขณะที่ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับปรับตัวลดลง

     

     

    จนถึงตอนนี้ดัชนี S&P 500 ดีดตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมแล้วทั้งสิ้น 28.5% หลังจากที่ก่อนหน้านี้ร่วงลงมา 33.9% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 สามารถสร้างจุดปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์

     

    ในขณะเดียวกันตอนนี้กราฟ S&P 500 ก็กำลังสร้างรูปแบบสามเหลี่ยมลู่ขึ้น (Rising Wedge) ซึ่งเชื่อกันตามทฤษฏีว่าหลังจากรูปแบบนี้จบลงจะต้องลงเอยด้วยกราฟขาลง ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันที่จรวดแห่งความหวังกำลังพยายามฝ่าพายุมรสุมขึ้นไปให้ได้ จุดตัดสินของขาขึ้นคราวนี้จึงอยู่ที่แนวต้านที่ระดับราคาประมาณ 3,000

     

    ดัชนีหลักตัวอื่นๆ มีผลงานไม่แพ้กับ S&P 500 เลย ดัชนีดาวโจนส์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม้จะปรับตัวขึ้นมาได้ 30.5% แต่โดยรวมแล้วยังไม่มากพอเมื่อเทียบกับขาลง 37.1% ที่ร่วงมาจากจุดสูงสุดในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันดัชนีดาวโจนส์ยังคงวิ่งอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA และก็เหมือนกับดัชนี S&P 500 ที่อาจจะกำลังสร้างรูปแบบสามเหลี่ยมลู่ขึ้นอยู่

     

     

    ตลาด NASDAQ ก็ถือเป็นดัชนีหลักอีกตัวที่ทำผลงานได้ดีไม่แพ้ดาวโจนส์หรือ S&P 500 เลย ด้วยผลงานการปรับตัวขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 26.1% หลังจากที่ร่วงลงมา 30.1% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันกราฟ NASDAQ สามารถทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ขึ้นไปทดสอบ 200 DMA ได้แล้ว อย่างไรก็ตามกราฟกลับยังไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญไปได้และรูปแบบแท่งเทียนก็กำลังแสดงรูปแบบคนแขวนคอ (Hanging Man) ถ้าในวันนี้เมื่อตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดแล้วปรากฏว่ากราฟมีราคาปิดต่ำกว่าแท่งคนแขวนคอ เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสัญญาณบอกถึงขาลงหรืออย่างน้อยก็อาจจะลงไปย่อตัว

     

    Russell 2000 ถือเป็นตัวที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดเมื่อเทียบกับดัชนีหลักตัวอื่นๆ ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ Russell 2000 ปรับตัวขึ้นมา 24.3% เมื่อเทียบกับขาลงก่อนหน้านี้ที่ลงมารวมแล้วทั้งสิ้น 42% ยิ่งไปกว่านั้น Russell 2000 ถือเป็นตัวเดียวที่มีเปอร์เซนต์การปรับตัวขึ้นติดลบ 1.4% เมื่อเทียบกับดัชนีตัวอื่นที่สามารถปิดบวกได้หมด

     

    แม้ว่าตลาดหุ้นและดัชนีหลักๆ จะปรับตัวขึ้นแต่กราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีกลับปรับตัวลดลง ลงไปสู่ราคาต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน

     

     

     

    ในทางเทคนิคกราฟพันธบัตรฯ อายุ 10 ปีปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าเส้นเทรนด์ไลน์ที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ถ้าเรามองว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA คือเส้นเทรนด์ไลน์ขาลงแล้วเราจะได้รูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตรมา แต่ตอนนี้ขาลงถือว่ามีแต้มต่ออยู่ในระดับหนึ่งเพราะกราฟหลุดเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นลงมาแล้ว ดังนั้นในสัปดาห์นี้มีโอกาสที่กราฟจะปรับตัวลงมากกว่าขึ้น

     

    กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลงแต่ราคายังถือว่าสามารถยืนเหนือกรอบสามเหลี่ยมอยู่โดยยังไม่วกกลับลงมาอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม

     



    สกุลเงินดอลลาร์อาจจะสามารถสร้างรูปแบบธงสามเหลี่ยมขาขึ้นได้สำเร็จหลังจากที่ดัชนีสามารถวิ่งขึ้นได้ 8.5% ภายใน 10 วันล่าสุด ที่สำคัญราคายังสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ได้อีกด้วยเมื่อเทียบกับพันธบัตรอายุ 10 ปีที่อยู่ในแนวโน้มขาลง

     

    ราคาทองคำล่วงหน้าปรับตัวลดลงเมื่อนักลงทุนหันไปถือสกุลเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัยมากขึ้น

     

     

     

    อย่างไรก็ตามตอนนี้ทองคำกำลังทดสอบเส้นแนวรับที่เป็น neckline ของรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ถ้ายังไม่หลุดแนวรับนี้ลงมาความเป็นไปได้ที่การลงมาครั้งนี้อาจจะเป็นเพียงการย่อก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นไปสู่เป้าหมาย $2000

     

    กราฟราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 7 จาก 8 สัปดาห์แม้ว่าพึ่งจะมีรายงานว่าซาอุดิอาระเบียเพิ่มการส่งน้ำมันไปให้สหรัฐฯ เป็นสองเท่าท่ามกลางความไม่แน่นอนของการคานอำนาจระหว่างประเทศมหาอำนาจผู้ผลิตน้ำมัน

     

     

     

    สาเหตุหนึ่งที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกิดมาจากตัวเลข GDP จีนในไตรมาสแรกหดตัว เพราะจีนคือประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดิบหลักของโลกดังนั้นข่าวของจีนจึงมีผลต่อราคาน้ำมันดิบด้วย ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงต่ำกว่า $20 ลงมาอยู่ที่ราวๆ $18 ปัจจุบันระดับราคา $20 กลายมาเป็นแนวต้านใหม่สำหรับน้ำมันดิบ WTI เรียบร้อย

     

    ข่าวเศรษฐกิจที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)

     

    วันอาทิตย์

     

    21:30 (ประเทศจีน) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (LPR) จากแบงก์ชาติจีน: เป็นไปได้สูงว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงหลังจากที่ตัวเลข GDP เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหดตัว

     

    วันจันทร์

     

    02:00 (เยอรมัน) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI): คาดว่าจะหดตัวลง -0.7%

     

    วันอังคาร

    05:00 (เยอรมัน) ดัชนีวัดบรรยากาศความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) คาดว่าตัวเลขในเดือนเมษายนจะดีขึ้นจาก -49.5 เป็น -41.0

     

    08:30 (แคนาดา) ตัวเลขยอดขายปลึกพื้นฐาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -0.1% เป็น 0.3%

     

    10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยมือสอง: คาดว่าจะลดลงต่อจาก 5.30M เป็น 5.77M

     

    วันพุธ

     

    02:00 (สหราชอาณาจักร) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): แบบปีต่อปีอาจจะลดลงจาก 1.7% เหลือ 1.5%

     

    08:30 (แคนาดา) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): คาดว่าจะลดลงจาก 0.4% เป็น -0.4%

     

    10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะลดลงจาก 19.248M เหลือ 11.676M

     

    วันพฤหัสบดี

     

    02:00 (สหราชอาณาจักร) ตัวเลขยอดขายปลีก: คาดว่าจะลดลงจาก -0.3% เป็น -3.8%

     

    03:30 (เยอรมัน) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะหดตัวลงจาก 45.4 เป็น 39.0

     

    08:30 (สหรัฐฯ) ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน: ยังต้องจับตามองว่าจะทำสถิติใหม่สูงกว่า 6.6 ล้านคนได้หรือไม่หรือจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงเรื่อยๆ

     

    10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายบ้านใหม่: คาดว่าจะลดลงจาก 765K เหลือ 645K

     

    วันศุกร์

     

    02:00 (สหราชอาณาจักร) ตัวเลขยอดขายปลีก: คาดว่าจะหดตัวต่อจาก -0.3% เป็น -4%

     

    04:00 (เยอรมัน) ดัชนีวัดบรรยากาศทางธุรกิจโดย Ifo: คาดว่าจะลดลงจาก 86.1 เหลือ 80.0

     

    06:30 (รัสเซีย) การประชุมเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ย: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 6.00%

     

    08:30 (สหรัฐฯ) รายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 0.6% เหลือ -6.0%

     

     

     

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย