-
ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นกับความหวังอันน้อยนิดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นคืน การปิดเมืองจะจบลง
-
กราฟพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มุ่งหน้ากลับสู่จุดต่ำสุดใหม่ตลอดกาล (all-time lows) อีกครั้ง
-
ตลาดได้เห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ
ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นมาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ติดแล้วและในสัปดาห์นี้เรามองว่าขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความหวังน้อยนิดที่มีมากขึ้นของนักลงทุนเมื่อบรรยากาศของคนในชาติเริ่มเปลี่ยนไปจากความกลัวที่มีต่อโรคระบาดกลายเป็นความหวังบนความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะลดความคุมเข้มที่มีต่อการปิดเมืองมากขึ้น ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมาตลอด 2 สัปดาห์ติดคิดเป็น 3% ถือเป็นการอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นนานที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์
ความหวังอันริบหรี่ Vs ความเป็นจริงที่โหดร้าย
เรากล้าพูดว่า Investing.com ไม่ใช่สำนักข่าวเดียวที่ไม่เชื่อในแนวโน้มขาขึ้นครั้งนี้ คุณไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่าในขณะที่นักลงทุนกำลังทยอยซื้อหุ้นและดันตลาดหลักทรัพย์ ดัชนี ให้ปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ปัจจุบันทั้งโลกมีตัวเลขรวมแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 2,330,000 รายและมียอดผู้เสียชีวิตเกือบแตะ 161,000 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ เองมีตัวเลขยืนยันผู้ติดเชื้อมากถึง 735,000 คน
ถึงอย่างนั้นตลาดหุ้นก็ยังสามารถขึ้นได้ด้วยความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อธนาคารและรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ว่าพวกเขาจะสามารถทำให้สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นและนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผล ในด้านของการแพทย์ประชาชนก็เชื่อว่าสาธารณสุขของประเทศจะสามารถหาวัคซีนรักษาได้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามความเป็นจริงที่มีนั้นห่างไกลกับโลกอุดมคติด้านบนมาก ผู้ที่ดูแลเรื่องการผลิตยาวัคซีนคนเดียวกันกับที่ฝ่ายอุดมคตินำมาอ้างพูดด้วยตัวเองเช่นกันว่าข้อสรุปของวัคซีนที่สามารถใช้และได้ผลกับโควิด-19 ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้และเขาไม่สามารถบอกวันที่วัคซีนจะออกมาได้อย่างเต็มปาก คำพูดนี้ฟังแล้วคล้ายกับคำพูดของแพทย์ในช่วงปี 1980 ที่พูดถึงโรค HIV และ AIDS เป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็ 35 ปีมาแล้วที่เราอยู่ร่วมกันโรคทั้งสองมาโดยที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ จริงอยู่ว่าปัจจุบันมียาที่ทำให้คนที่ติด HIV หรือ AIDS สามารถอยู่กับเราได้นานขึ้น (บางคนอยู่ได้นานถึง 10 ปีถ้าดูแลตัวเองดีๆ) แต่กว่าที่ยารักษานั้นจะออกมาได้เราใช้เวลาเป็นปีถึงสามารถทำสำเร็จ
คลื่นไวรัสที่สาดเข้ามายังไม่ทันหายเปียกตอนนี้สัญญาณคลื่นเศรษฐกิจถดถอยที่หนักกว่าและใหญ่กว่าได้ส่งสัญญาณมาถึงมนุษยชาติแล้วด้วยยอดตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ ที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติกาล 3 สัปดาห์ติด ล่าสุดสัปดาห์ที่แล้วพึ่งมีผู้ได้รับการยืนยันขอเข้ารับสวัสดิการว่างงานมากถึง 5.2 ล้านคน รวมแล้วทั้งสิ้นตอนนี้สหรัฐฯ น่าจะมีคนว่างงานมากถึง 22 ล้านคน ทำลายสถิติจำนวนงานที่มีมากที่สุดเมื่อเดือนมีนาคมปี 2009 เป็นที่เรียบร้อย
ข้างล่างนี้คือตารางแสดงตัวเลขยอดคนตกงานมากที่สุดซึ่งจะเห็นได้ว่าครั้งนี้ตัวเลขคนตกงานถือว่าเยอะที่สุดมากกว่าวิกฤตครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขยอดขายปลีกของเดือนมีนาคมลดลงมากกว่า 8% ส่วนแบบรายปีลดลง 16% ตัวเลขยอดจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้างก็ไม่รอด ในขณะที่ประเทศจีนก็มีตัวเลข GDP ไตรมาสแรกหดตัวลงเหลือ 6.8% ถือเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษภายใต้การบริหารของท่านสี จิ้นผิงเลยทีเดียว
ถ้าถามเราว่าแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวลงแบบจีนไหม? เราก็สามารถตอบได้เลยว่า “แน่นอนสิครับ” ถ้าคู่ค้าคนสำคัญของสหรัฐฯ ยังหดตัวแล้วสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร แม้จะมีคนแย้งว่า “นี่อาจจะเป็นการหดตัวชั่วคราวก็ได้” แต่เมื่อเราพิจารณาจากกรณีของโรคเอดส์แล้วเราจำเป็นต้องประเมินในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนนั่นคือเราอาจจะไม่ได้ยารักษาเลยจนถึงปี 2021
อย่างไรก็ตามในฐานะนักวิเคราะห์เราจำเป็นต้องวิเคราะห์ในสิ่งที่พฤติกรรมราคาแสดงออกมา เมื่อกราฟปรับตัวสูงขึ้นเราก็ต้องมองว่านี่คือแนวโน้มขาขึ้น เรามองว่าราคาจะยังขึ้นต่อไปจนกว่าราคาจะเจอแนวต้านที่แข็งแกร่ง (3000 ถือเป็นแนวต้านแรกที่ต้องทดสอบ) และเมื่อนักลงทุนเกิดความกลัวที่มีต่อขาขึ้นในครั้งนี้และเริ่มหักหัวลง เราจะมาวิเคราะห์ให้ผู้อ่านได้ทราบอีกครั้ง
ตลาดหุ้น ดัชนีสหรัฐฯ ล้วนแล้วแต่ปรับตัวขึ้นในขณะที่ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับปรับตัวลดลง
จนถึงตอนนี้ดัชนี S&P 500 ดีดตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมแล้วทั้งสิ้น 28.5% หลังจากที่ก่อนหน้านี้ร่วงลงมา 33.9% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 สามารถสร้างจุดปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์
ในขณะเดียวกันตอนนี้กราฟ S&P 500 ก็กำลังสร้างรูปแบบสามเหลี่ยมลู่ขึ้น (Rising Wedge) ซึ่งเชื่อกันตามทฤษฏีว่าหลังจากรูปแบบนี้จบลงจะต้องลงเอยด้วยกราฟขาลง ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันที่จรวดแห่งความหวังกำลังพยายามฝ่าพายุมรสุมขึ้นไปให้ได้ จุดตัดสินของขาขึ้นคราวนี้จึงอยู่ที่แนวต้านที่ระดับราคาประมาณ 3,000
ดัชนีหลักตัวอื่นๆ มีผลงานไม่แพ้กับ S&P 500 เลย ดัชนีดาวโจนส์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม้จะปรับตัวขึ้นมาได้ 30.5% แต่โดยรวมแล้วยังไม่มากพอเมื่อเทียบกับขาลง 37.1% ที่ร่วงมาจากจุดสูงสุดในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันดัชนีดาวโจนส์ยังคงวิ่งอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA และก็เหมือนกับดัชนี S&P 500 ที่อาจจะกำลังสร้างรูปแบบสามเหลี่ยมลู่ขึ้นอยู่
ตลาด NASDAQ ก็ถือเป็นดัชนีหลักอีกตัวที่ทำผลงานได้ดีไม่แพ้ดาวโจนส์หรือ S&P 500 เลย ด้วยผลงานการปรับตัวขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 26.1% หลังจากที่ร่วงลงมา 30.1% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันกราฟ NASDAQ สามารถทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ขึ้นไปทดสอบ 200 DMA ได้แล้ว อย่างไรก็ตามกราฟกลับยังไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญไปได้และรูปแบบแท่งเทียนก็กำลังแสดงรูปแบบคนแขวนคอ (Hanging Man) ถ้าในวันนี้เมื่อตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดแล้วปรากฏว่ากราฟมีราคาปิดต่ำกว่าแท่งคนแขวนคอ เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสัญญาณบอกถึงขาลงหรืออย่างน้อยก็อาจจะลงไปย่อตัว
Russell 2000 ถือเป็นตัวที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดเมื่อเทียบกับดัชนีหลักตัวอื่นๆ ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ Russell 2000 ปรับตัวขึ้นมา 24.3% เมื่อเทียบกับขาลงก่อนหน้านี้ที่ลงมารวมแล้วทั้งสิ้น 42% ยิ่งไปกว่านั้น Russell 2000 ถือเป็นตัวเดียวที่มีเปอร์เซนต์การปรับตัวขึ้นติดลบ 1.4% เมื่อเทียบกับดัชนีตัวอื่นที่สามารถปิดบวกได้หมด
แม้ว่าตลาดหุ้นและดัชนีหลักๆ จะปรับตัวขึ้นแต่กราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีกลับปรับตัวลดลง ลงไปสู่ราคาต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน
ในทางเทคนิคกราฟพันธบัตรฯ อายุ 10 ปีปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าเส้นเทรนด์ไลน์ที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ถ้าเรามองว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA คือเส้นเทรนด์ไลน์ขาลงแล้วเราจะได้รูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตรมา แต่ตอนนี้ขาลงถือว่ามีแต้มต่ออยู่ในระดับหนึ่งเพราะกราฟหลุดเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นลงมาแล้ว ดังนั้นในสัปดาห์นี้มีโอกาสที่กราฟจะปรับตัวลงมากกว่าขึ้น
กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลงแต่ราคายังถือว่าสามารถยืนเหนือกรอบสามเหลี่ยมอยู่โดยยังไม่วกกลับลงมาอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม
สกุลเงินดอลลาร์อาจจะสามารถสร้างรูปแบบธงสามเหลี่ยมขาขึ้นได้สำเร็จหลังจากที่ดัชนีสามารถวิ่งขึ้นได้ 8.5% ภายใน 10 วันล่าสุด ที่สำคัญราคายังสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ได้อีกด้วยเมื่อเทียบกับพันธบัตรอายุ 10 ปีที่อยู่ในแนวโน้มขาลง
ราคาทองคำล่วงหน้าปรับตัวลดลงเมื่อนักลงทุนหันไปถือสกุลเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทองคำกำลังทดสอบเส้นแนวรับที่เป็น neckline ของรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ถ้ายังไม่หลุดแนวรับนี้ลงมาความเป็นไปได้ที่การลงมาครั้งนี้อาจจะเป็นเพียงการย่อก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นไปสู่เป้าหมาย $2000
กราฟราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 7 จาก 8 สัปดาห์แม้ว่าพึ่งจะมีรายงานว่าซาอุดิอาระเบียเพิ่มการส่งน้ำมันไปให้สหรัฐฯ เป็นสองเท่าท่ามกลางความไม่แน่นอนของการคานอำนาจระหว่างประเทศมหาอำนาจผู้ผลิตน้ำมัน
สาเหตุหนึ่งที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกิดมาจากตัวเลข GDP จีนในไตรมาสแรกหดตัว เพราะจีนคือประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดิบหลักของโลกดังนั้นข่าวของจีนจึงมีผลต่อราคาน้ำมันดิบด้วย ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงต่ำกว่า $20 ลงมาอยู่ที่ราวๆ $18 ปัจจุบันระดับราคา $20 กลายมาเป็นแนวต้านใหม่สำหรับน้ำมันดิบ WTI เรียบร้อย
ข่าวเศรษฐกิจที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันอาทิตย์
21:30 (ประเทศจีน) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (LPR) จากแบงก์ชาติจีน: เป็นไปได้สูงว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงหลังจากที่ตัวเลข GDP เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหดตัว
วันจันทร์
02:00 (เยอรมัน) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI): คาดว่าจะหดตัวลง -0.7%
วันอังคาร
05:00 (เยอรมัน) ดัชนีวัดบรรยากาศความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) คาดว่าตัวเลขในเดือนเมษายนจะดีขึ้นจาก -49.5 เป็น -41.0
08:30 (แคนาดา) ตัวเลขยอดขายปลึกพื้นฐาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -0.1% เป็น 0.3%
10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยมือสอง: คาดว่าจะลดลงต่อจาก 5.30M เป็น 5.77M
วันพุธ
02:00 (สหราชอาณาจักร) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): แบบปีต่อปีอาจจะลดลงจาก 1.7% เหลือ 1.5%
08:30 (แคนาดา) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): คาดว่าจะลดลงจาก 0.4% เป็น -0.4%
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะลดลงจาก 19.248M เหลือ 11.676M
วันพฤหัสบดี
02:00 (สหราชอาณาจักร) ตัวเลขยอดขายปลีก: คาดว่าจะลดลงจาก -0.3% เป็น -3.8%
03:30 (เยอรมัน) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะหดตัวลงจาก 45.4 เป็น 39.0
08:30 (สหรัฐฯ) ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน: ยังต้องจับตามองว่าจะทำสถิติใหม่สูงกว่า 6.6 ล้านคนได้หรือไม่หรือจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงเรื่อยๆ
10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายบ้านใหม่: คาดว่าจะลดลงจาก 765K เหลือ 645K
วันศุกร์
02:00 (สหราชอาณาจักร) ตัวเลขยอดขายปลีก: คาดว่าจะหดตัวต่อจาก -0.3% เป็น -4%
04:00 (เยอรมัน) ดัชนีวัดบรรยากาศทางธุรกิจโดย Ifo: คาดว่าจะลดลงจาก 86.1 เหลือ 80.0
06:30 (รัสเซีย) การประชุมเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ย: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 6.00%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 0.6% เหลือ -6.0%