คาด SET INDEX อ่อนตัวลงกรอบ 1220 – 1234 เนื่องจาก
จิตวิทยาการลงทุนเป็นลบหลัง Dow Jones Industrial Average อ่อนตัวลง 1.86% เนื่องจาก บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐโดยเฉพาะกลุ่มเกี่ยวข้องกับการเงินพบว่าต่่ากว่า คาดการณ์หรือบางบริษัทมีผลประกอบการที่ลดลงเมื่อเทียบ YoY หลักๆ เกิดจากการตั้งส่ารองที่สูง สะท้อนความสามารถในการช่าระหนี้ที่อ่อนแอ หรืออีกนัยยะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมอ่อนแอ สอดคล้องกับรายงาน ดัชนีค้าปลีกสหรัฐประจ่าเดือน มี.ค. ลดลง 8.7 %MoM ต่่ากว่าที่ นักวิเคราะห์ประเมินกันที่ 8 %MoM และยังต่่าสุดในประวัติการณ์
แรงกดดันจากกลุ่มน้่ามัน เมื่อคืนที่ผ่านราคาน้่ามันดิบ BRENT ปรับตัวลง แรงถึง 6.6% หลังจากทาง IEA ส่านักงานพลังงานสากลเผยถึงอุปสงค์น้่า มันดิบทั่วโลกลดลงถึง 29% ต่่าสุดในรอบ 25 ปี ประกอบกับทางสหรัฐ เผยตัวเลขสต็อกน้่ามันดิบ ณ สิ้นสัปดาห์ 10 เม.ย. เพิ่มขึ้นถึง 19.2 ล้าน บาร์เรลสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันที่ 12 ล้านบาร์เรล ดังนั้นหากอุป สงค์ยังไม่กลับมาและมีการลดก่าลังการผลิตลงเพียง 13.4% ประเมินราคา น้่ามันจะยังไม่สามารถกลับมาขึ้นได้กดดันทั้งกลุ่มน้่ามันและก่าไรดัชนี โดย Bloomberg ล่าสุดปรับกำไรดัชนีลงมาเหลือเพียง 76.8 บาท / หุ้น จาก ต้นสัปดาห์อยู่บริเวณ 78 บาท
ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ที่ประชุม ครม. เผยว่างบประมาณที่จะน่ามาเยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก COVID -19 จ่านวน 5 พันบาทนั้นจะเพียงพอให้แค่ เดือนเท่านั้นส่วนอีก 2 เดือน (กำหนดแจก 3 เดือน) จะต้องให้การกู้ ของ พรก. 1 ล้านล้านเสร็จสิ้นก่อนซึ่งคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค. ดังนั้นช่วงสั้น ประเมินเป็นลบเชิงจิตวิทยาต่อดัชนีรวมถึงกลุ่มค้าปลีก ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่่าทยอยลดพอร์ต ส่วนรับความเสี่ยงได้สูงใช้กล ยุทธ์เล่นสั้นจบในวันเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้่ามันปรับตัวลง (BGC EPG SCC TASCO )
Stock Pick
BGC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 11 บาท) มองบริษัทมีความน่าสนใจในแง่ของอัตรา ก่าไรขั้นต้นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 18 -19% จากปี 19 ที่อยู่ราว 15.3% หนุนจากการ ประหยัดขนาดจากสินค้าที่ได้ปริมาณมากขึ้น จากค่าสั่งซื้อที่เข้ามามากในช่วงก่อนนี้ หน้าประกอบกับราคาวัตถุดิบปรับตัวลง โดยเราคาดการณ์ว่าก่าไรสุทธิในปีนี้จะ เติบโตได้ราว 15 %YoY ถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับระดับ Valuation ที่ซื้อขายเพียง 12.5x Trailing PE พร้อมๆกับอัตราเงินปันผลเฉลี่ย 7 - 8% ต่อปีขณะเดียวกันต้นทุน ของบริษัทมาจากน้่ามันซึ่งประเมินได้ประโยชน์จากน้่ามันที่ปรับฐานลงมา 58% YTD
EPG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 8.2 บาท) ระดับรายได้และก่าไรสุทธิคาดว่าจะกลับมา ภายใน FY 1 Q20E จากยอดขายอะไหล่รถยนต์ที่คาดจะกลับมาฟื้นตัวหลังจากมีไฟป่า ในออสเตรเลีย (25% ของยอดขายชิ้นส่วนรถยนต์ขายใน ออสเตรเลีย) และ ราคา วัตถุดิบบนสัญญาใหม่จะเริ่มทยอยเข้ามา ซึ่งมีราคาต่่ากว่าสัญญาก่อนหน้าเฉลี่ย 10%QoQ ทั้งนี้ราคาเคมีภัณฑ์ (HDPE, PP PS. ABS) ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จากอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาด
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th