ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาเมื่อวานนี้ถือว่าไม่น่าประทับใจ ตัวเลขยอดขายปลีกลดลง 8.7% ซึ่งถือเป็นการลดลงที่มากที่สุดในรอบ 1 เดือน ผลสำรวจภาคการผลิตจากเอ็มไพร์ สเตตก็ลดลง -78.2 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเป็นประวัติกาล ความแตกต่างก็คือตัวเลขยอดขายปลีกนั้นลดลงก็จริงแต่ลดลงมากจากที่คาดการณ์ของนักวิเคราะห์ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในขณะที่ของเอ็มไพร์นั้นคาดการณ์เอาไว้ที่ -35 ดัชนีวัดผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรมก็ลดลง 5.4% ต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย
รายงานสรุปสภาวะเศรษฐกิจที่ออกมาดูเหมือนจะมองโลกในแง่ดีเกินไปมากอยู่ ในรายงานระบุว่าในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องได้รับผลกระทบอย่างสาหัสจากวิกฤตโควิด-19 จนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศต้องหดตัวอย่างรุนแรง อัตราการจ้างงานในทุกรัฐลดลงอย่างมากและในหลายๆ รัฐยังมองภาพรวมทางเศรษฐกิจไม่ออกว่าตัวเองควรเกินไปในทิศทางไหนต่อไป ธนาคารกลางของหลายๆ รัฐมองว่าเศรษฐกิจอาจแย่ลงไปมากกว่านี้และอาจจะยังไม่สามารถกลับมาได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตามสกุลเงินดอลลาร์กลับสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นและราคาพันธบัตรปรับตัวลดลง คำอธิบายเดียวที่สามารถหาเหตุผลให้กับการปรับตัวขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์ได้ก็คือ “ดอลลาร์ได้กลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย” อีกแล้ว
ถ้าปัจจัยพื้นฐานแย่จะส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศนั้นๆ แย่ลงก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับการจับคู่สกุลเงินแล้วนอกจากปัจจัยพื้นฐานในประเทศของสกุลเงินนั้นๆ ยังมีเรื่องของการเปรียบเทียบสภาพเศรษฐกิจของคู่สกุลเงินที่ถูกนำมาจับคู่เป็นปัจจัยให้พิจารณาเพิ่มด้วย การกลับมาใหม่ขอไวรัสโควิด-19 ในประเทศแถบเอเชียและยุโรปบางประเทศที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมลงแสดงให้เห็นเลยว่าเรายังไม่มีการรับมือที่ดีมากพอ อ้างอิงข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกบอกว่ายังไม่มีข้อมูลสรุปได้แน่ชัดว่าผู้ที่เคยติดเชื้อและหายแล้วจะไม่สามารถกลับมาติดเชื้อซ้ำได้อีก
อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้การปิดล็อคเมืองในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และเยอรมันจะยังคงดำเนินต่อไป สกุลเงินยูโรปรับตัวลดลง 1% เมื่อวานหลังจากที่ตลาดทราบข่าวว่าสเปนกลับมามียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 วันที่ผ่านมาหลังจากก่อนหน้านี้มีรายงานยอดจำนวนผู้ติดเชื้อชะลอตัวลง ภายในสัปดาห์นี้เยอรมันอาจมีข่าวเพิ่มมาตรการบางอย่างให้กับการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) เพิ่มขึ้นอีกในขณะที่สหราชอาณาจักรมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 761 คนในสก็อตแลนด์และเวลล์และยอดผู้เสียชีวิตในประเทศทั้งสองยังไม่ลดลง
ในตอนนี้ต่อให้มีประเทศไหนที่สามารถฟื้นตัวหรือกลับมาสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อีกในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เราเชื่อว่าประเทศที่อยู่รอบๆ ข้างส่วนใหญ่จะยังคงปิดชายแดนอยู่และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอาจยืดออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ หมายความว่าตัวเลขผลกำไรที่แต่ละภาคส่วนหรือบริษัทจะสามารถทำได้จะยังคงอยู่ในระดับต่ำทั้งในไตรมาสที่ 2 และตอนนี้ต้องติดถึงไตรมาสที่ 3 แล้ว การคาดการณ์เหล่านี้คือข่าวร้ายสำหรับสกุลเงินดอลลาร์แต่เป็นข่าวร้ายยิ่งกว่าสำหรับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเพราะถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ฟื้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตาม
นี่คือคำอธิบายว่าทำไมสกุลเงินดอลลาร์ถึงสามารถมีมูลค่าสูงขึ้นได้ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานสหรัฐฯ ยังออกมาติดลบอยู่ รายงานผลสำรวจจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดเฟียในวันนี้คาดว่าจะมีสภาพไม่ต่างกับดัชนีของเอ็มไพร์ สเตต นอกจากนี้นักลงทุนยังคาดว่าดัชนีที่อยู่อาศัยเริ่มสร้างและการอนุญาตให้ก่อสร้างจะติดลบอย่างน้อยเป็นตัวเลข 2 ตำแหน่งหลังจากที่ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยของ NAHB สร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ 30 ในเดือนนี้
ธนาคารกลางแคนาดา (BoC) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ดังเดิมและนโยบายการซื้อสินทรัพย์ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามทาง BoC ได้เพิ่มการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจซึ่งรวมไปถึงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลด้วย นอกจากนี้ BoC ยังได้ลดตัวเลขคาดการณ์ GDP ลง ในไตรมาสที่ 1 ตัวเลข GDP จริงจะถูกลดลง 1-3% ส่วนในไตรมาสที่สองจะลดลงถึง 15-30% ในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ทางธนาคารกลางยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับมาได้เมื่อไหร่ ภาพรวมที่แสนจะกำกวมนี้ส่งผลให้กราฟ USD/CAD ปรับตัวขึ้นยืนเหนือระดับราคา 1.4100 แต่ราคาก็ไม่สามารถขึ้นไปต่อได้หลังจากผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดานายสตีเฟ่น โปลอสออกมากล่าวว่า 0.25% คือผลกระทบจากดอกเบี้ยของประเทศในตอนนี้ถือว่าอยู่ในขอบล่างแล้วและทาง BoC ยังไม่มีความต้องการจะทำ QE ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังถูกปิดอยู่เช่นนี้