นักลงทุนทุกคนน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายนที่ผ่านมาเราได้ข้อสรุปที่กลุ่มโอเปก + จะยอมลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 9.7 ล้านบาร์เรลในขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่ๆ จะลดกำลังการผลิตมากกว่านั้น การประชุมของโอเปกครั้งนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่มีประเทศผู้ผลิตน้ำมันเข้าร่วมและเห็นพ้องตรงกันมากที่สุด แม้พวกเขาทั้งหมดจะยินดีที่จะลดกำลังการผลิตลงในเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปแต่ตลาดราคาน้ำมันดิบกลับไม่คิดเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าข่าวดีของการประชุมนี้จะรายงานออกมาในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกหยุดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุดและวันจันทร์ที่ผ่านมาก็ยังเป็นวันหยุดอีสเตอร์ในหลายๆ ประเทศทางยุโรป แต่ราคาน้ำมันดิบกลับไม่ได้ดีดขึ้นตามผลการประชุมที่ออกมาเป็นข่าวดีเลย อันที่จริงแล้วราคาน้ำมันยังคงวิ่งอยู่บริเวณต่ำกว่า $25 ต่อบาร์เรลแสดงให้เห็นถึงตลาดที่ขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้แล้วประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ยังเหลือวิธีอะไรอีกที่จะทำให้ราคาน้ำมันสามารถวิ่งสูงขึ้นได้ ในบทความนี้เราจะมาลองดู 5 ความเป็นไปได้ของเกมการเมืองที่อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น
วิธีที่ 1: หาแพะรับบาป
การร่วงลงมา 30% ของราคาน้ำมันอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นซึ่งทุกคนที่ตามข่าวจะทราบดีว่าสาเหตุหลักเกิดมาจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซียที่ทะเลาะกันในการประชุมเมื่อเดือนมีนาคม ดังนั้นคนที่มีส่วนรับผิดชอบในวันนั้นก็ควรที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ
ถ้ามองในฝั่งรัสเซียผู้ที่รับผิดชอบและเข้าร่วมการประชุมเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมคือรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานนายอเล็กซานเดอร์ โนวาค ซึ่งก็มีบางคนมองว่านี่คือความผิดเขาเพราะถ้ายอมทำตามข้อเรียกร้องของซาอุดิฯ ตั้งแต่วันนั้นก็จบไปแล้ว ดังนั้นจึงควรปลอดเขาออกแล้วให้ท่านผู้นำอย่างวลาดิเมียร์ ปูตินเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรื่องราคาน้ำมันดิบในช่วงสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ แต่ข่าวร้ายคือรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากท่านปูตินเป็นอย่างมาก
อีกฝั่งหนึ่งอย่างซาอุดิอาระเบียนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลยเพราะผู้ที่รับผิดชอบในวันนั้นคือรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและองค์ชายอับดุลลาซิส นอกจากจะรับผิดชอบเรื่องการประชุมแล้วยังต้องรับผิดชอบเรื่องการตัดสินใจเปิดสงครามตัดราคากับทางรัสเซียอีกด้วย เราเข้าใจดีว่าคงจะไม่สามารถไล่องค์ชายออกจากตำแหน่งได้ดังนั้น นายโมฮัมเมด บาคินโดเลขาธิการของกลุ่มโอเปกควรจะเป็นผู้รับผิดชอบกับเรื่องนี้แล้วออกจากตำแหน่ง
เรื่องหลักการบริหารไม่ว่าจะเป็นระดับกลุ่ม องค์กรหรือประเทศต่างทราบดีว่าถ้าเราได้ผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถมากพอมาบริหาร เราก็จะได้เห็นการดำเนินการที่ไปในทิศทางที่ถูกที่ควรได้ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วในครั้งนี้ถือว่าซาอุดิอาระเบียมีความผิดอยู่มากกว่า ไม่ใช่เพราะเรื่องการทะเลาะกับรัสเซียเมื่อต้นเดือนมีนาคมแต่เป็นการตัดสินใจหลังจากนั้นที่ทำสงครามราคาน้ำมันและทำให้ราคาน้ำมันมีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นการตำหนิองค์ชายอับดุลลาซิสและให้ซาอุดออาระเบียออกมาแสดงความรับผิดชอบดูสักครั้งน่าจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาได้บ้าง
วิธีที่ 2: สร้างความตึงเครียดทางการทหาร
การสร้างความตึงเครียดทางการทหารในประเทศที่มีการผลิตน้ำมันสูงๆ เป็นวิธียอดฮิตที่ดันราคาน้ำมันให้ขึ้นมาได้หลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เราไม่รับประกันว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่เพราะอ่าวเปอร์เซียในตอนนี้ก็ถูกกลุ่มทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่และทำลายแหล่งผลิตน้ำมันอยู่ แต่ในทางทฤษฎีแล้วถ้าความวุ่นวายทางการทหารเกิดขึ้นจริงราคาน้ำมันมักจะปรับตัวสูงขึ้น
อันที่จริงแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็มีข่าวว่ามีถังเก็บน้ำมันจากจีนเข้าไปที่อ่าวในโอมานและมุ่งหน้าไปยังท่าเรือจูไบล์ ในซาอุดิอาระเบีย ความสำคัญอยู่ที่มีกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกันไปยังอิหร่านด้วย อย่างไรก็ตามข่าวนี้ไม่ดังพอเท่ากับตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังเพิ่มสูงขึ้น แต่เราก็อยากให้คุณผู้อ่านได้ตระหนักไว้ว่าวิธีนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเข้ามามีบทบาทในกระดานเกมการเมืองโลกได้ทุกเมื่อ
วิธีที่ 3: สร้างที่เก็บน้ำมันดิบของโลกเพิ่ม
ผู้ผลิตน้ำมันหลัก (รวมถึงผู้นำเข้าน้ำมันที่ต้องการจะสร้างคลังเก็บด้วย) อาจจะต้องร่วมมือกันและดันราคาน้ำมันดิบขึ้นให้เร็วกว่าปริมาณน้ำมันดิบที่กำลังจะเต็มคลัง ผู้ผลิตอาจจะต้องให้ผู้นำเข้าน้ำมันอำนวยความสะดวกด้วยการสร้างพื้นที่เก็บน้ำมันใหม่โดยมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน
ในตอนนี้ประเทศที่มีกำลังการผลิตหลักๆ ของโลกประกอบไปด้วยสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ซาอุดิอาระเบียซึ่งพวกเขาอาจจะร่วมมือกันไปขอให้จีนและอินเดียรับซื้อน้ำมันที่ขุดออกมาเพื่อเพิ่มปริมาณความต้องการในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนนี้ก่อน อย่างน้อยก็จะพอช่วยให้คนเลิกวิตกปัญหาน้ำมันล้นตลาดไปได้
เราเชื่อว่าวิธีนี้ถ้าจะให้เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่างซึ่งจะมีนัยสำคัญเป็นอย่างมากแต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน นอกจากจะเป็นวิธีที่ได้เงินเร็วแล้ว ยังสามารถเพิ่มปริมาณความต้องการน้ำมันขึ้นมาหลอกๆ ไปก่อนได้
วิธีที่ 4: พลีชีพ
การเสียสละออกจากเกมตลาดน้ำมันดิบไปสัก 1 ประเทศจะทำให้โลกเข้าใจว่าเมื่อปริมาณการผลิตจาก 1 ในมหาอำนาจลดลงจะยิ่งทำให้อุปสงค์ของราคาน้ำมันสูงขึ้น แต่การจะทำเช่นนี้ได้นั้นประเทศดังกล่าวจะต้องไม่ใช่ลักษณะการปกครองแบบประชาธิปไตย การตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้จำเป็นต้องมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ว่าบริษัทผู้ผลิตแห่งใดแห่งหนึ่งจะสามารถตัดสินใจทำเองได้
จากวิธีนี้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่มีโอกาสทำได้มีเพียงรัสเซีย ซาอุดิอาระเบียและอิรัก แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ประเทศเหล่านี้จะต้องเดินไปถึงจุดสิ้นหวังขนาดต้องพึ่งพากำไรจากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียวแล้วและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เห็นราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น
แน่นอนว่าวิธีนี้เป็นได้เพียงความฝันเท่านั้นเพราะในความเป็นจริงโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้มีน้อยมากๆ
วิธีที่ 5: บังคับให้หยุดการปิดล็อคเมือง
วิธีสุดท้ายคือการที่บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่และรายย่อยรวมตัวกันเพื่อกดดันให้รัฐบาลรีบเปิดเมืองเปิดประเทศเพราะการปิดล็อคเมืองส่งผลให้ไม่มีการเดินทาง ไม่มีการทำงาน ไม่มีการท่องเที่ยว ไม่มีการใช้น้ำมันและที่สำคัญคือไม่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำมัน
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ถือว่าค่อนข้างเสี่ยงที่จะแลกกับผลที่ตามมาและอาจกลายเป็นว่าเศรษฐกิจจะยิ่งทรุดลงหนักกว่ารอบแรก วิธีการนี้ถือว่าสวนทางกับคำแนะนำของผู้เชียวชาญทางการแพทย์แต่ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์บางคนพวกเขาก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นข้อมูลทางเศรษฐกิจแต่ละชุดออกมามีแต่ตัวเลขที่ลดลงๆ
โดยสรุปแล้ว
เราหวังให้นี่จะเป็น 5 หนทางสุดท้ายที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน บริษัทหรือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องจะเลือกทำ (โดยเฉพาะ 2 ข้อหลังสุด) ถ้าย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนเชื่อว่าไม่มีใครคิดว่าราคาน้ำมันดิบจะสามารถเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ถ้าสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกไม่ดีขึ้นอีกไม่นานบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจะเริ่มอยู่ไม่ได้ งบช่วยเหลือจากรัฐบาลจะเริ่มหมด หนี้จะเพิ่มขึ้น คนจะตกงานมากขึ้นอย่างแน่นอน