ยิ่งระยะเวลาที่ไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกากินเวลายาวนานมากเท่าไหร่ พิษบาดแผลทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ จะได้รับก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น หลายๆ ธุรกิจที่ถือเป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจต้องปิดตัวลง ผู้คนตกงาน บริษัทส่วนใหญ่จะมีผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ลดลง
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้หากสังเกตดูจะเห็นว่าราคาในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทไม่ได้ร่วงลงอย่างน่ากลัวเหมือนช่วงเดือนมีนาคม หุ้นบางตัวสามารถกลับขึ้นมาอยู่ในแดนบวกได้ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกสหรัฐฯ อาจจะกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุดของยอดผู้ติดเชื้อและอาจจะควบคุมสถานการณ์ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวว่าโดนัลด์ ทรัมป์อาจจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 อีก
ดัชนี S&P 500 เมื่อวานนี้ดีดตัวขึ้น 3.4% คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 20 มีนาคมของดัชนี 20% นักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มมองแล้วว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณของข่าวดี ดังนั้นเราจึงตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่าถ้าเรากำลังอยู่ในช่วงที่ตลาดกำลังจะกลับมาเป็นขาขึ้นจริงจะมีหุ้นตัวไหนบ้างที่น่าสนใจและมีโอกาสกลับมาได้เร็วที่สุด จากการทำการบ้านของเราได้หุ้น 3 ตัวที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
1. Nvidia
ถึงแม้ว่าในปีนี้หุ้นของ Nvidia (NASDAQ:NVDA) จะปรับตัวลดลงมา 15% จากจุดสูงสุดของราคา แต่เมื่อพิจารณาจากผลงานการปรับตัวขึ้น 76% ตลอดทั้งปี 2019 ทำให้ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากไม่มีวิกฤตไวรัสโคโรนาตอนนี้หุ้น Nvidia จะปรับตัวขึ้นตามความต้องการทางเทคโนโลยีในตลาดที่เพิ่มมากขึ้นได้ขนาดไหน ล่าสุดเมื่อวานนี้หุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้นมาอีก 3% มีราคาปิดอยู่ที่ $266.95
แน่นอนว่าไวรัสโคโรนาได้เข้าไปส่งผลกระทบกับทุกๆ ธุรกิจและทำให้ปริมาณความต้องการสินค้าชะลอตัวลงซึ่งแม้แต่บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง Nvidia ก็หนีความเป็นจริงนี้ไปไม่พ้น แต่สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากกว่าหากว่าตัดปัจจัยของโควิด-19 ออกไปคืองบการเงิน สภาพคล่องและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ของ Nvidia ยังคงอยู่ในระดับที่ถือว่า “แข็งแกร่ง”
เมื่อเดือนที่แล้ว Needham พึ่งยกระดับหุ้นของ Nvidia ให้ขึ้นไปอยู่ในระดับ “น่าซื้อ” นักวิเคราะห์เชื่อว่าปริมาณความต้องการชิปคอมพิวเตอร์เพื่อไปประมวลผลในระบบหรือแอปพลิเคชันของสาธารณสุขทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI
บริษัททางการเงินนาม Susquehanna Financial Group ได้ปรับระดับเป้าหมายของราคาหุ้น Nvidia ขึ้นอีก $10 กลายเป็น $330 พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นว่า “ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นในทางการแพทย์และซัพพลายของบริษัทก็มีเพียงพอ เมื่ออุปสงค์และอุปทานสอดคล้องกันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หุ้น Nvidia จะไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้” นอกจากนี้ทาง Susquehanna ยังเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัท Nvidia ยังได้รับความต้องการเพื่อนำไปใช้กับระบบคลาวด์เป็นอย่างมาก
2. Apple
เป็นที่ทราบกันดีว่าหุ้นของบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนชื่อดังอย่างไอโฟน (iPhone) (NASDAQ:AAPL) คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดบริษัทหนึ่ง หุ้นแอปเปิลร่วงลงมา 35% จากจุดสูงสุดที่ $327.85 ในวันที่ 29 มกราคม แม้จะเป็นการปรับตัวลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตทางการเงินในปี 2008 แต่ตอนนี้หุ้นของแอปเปิลเริ่มฟื้นคืนกลับมาได้แล้ว เมื่อวานนี้หุ้นแอปเปิลปรับตัวขึ้นอีก 2.56% มีราคาปิดอยู่ที่ $266.07 รวมแล้วจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมพบว่าตอนนี้แอปเปิลสามารถกลับมาได้มากถึง 25% แล้ว
ในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาแอปเปิลต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายๆ ด้านแต่ก็ยังสามารถตอบโต้ได้ดี ในช่วงแรกที่การแพร่ระบาดยังคงรุนแรงอยู่ในประเทศจีนแอปเปิ้ลได้รับผลกระทบอย่างมากจากสายพานการผลิตที่ต้องหยุดลง ร้านคัาตัวแทนจัดจำหน่ายต้องหยุดให้บริการชั่วคราว จนถึงตอนนี้แม้ว่าร้านตัวแทนจัดจำหน่ายในจีนจะกลับมาทยอยเปิดให้บริการตามปกติแล้วแต่ในอีกหลายๆ พื้นที่ทั่วโลกยังคงถูกสั่งให้ปิดอยู่จนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้
สาเหตุที่หุ้นของแอปเปิลร่วงลงอีกประการหนึ่งคือนักวิเคราะห์เป็นกังวลว่าไวรัสโคโรนาจะทำให้การเปิดตัวมือถือไอโฟนรุ่นใหม่ที่จะมีเทคโนโลยี 5G จะต้องชะลอออกไปหรือไม่ แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่จีนเริ่มฟื้นตัว ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ใกล้ถึงจุดพีคและมีบางวันที่สามารถควบคุมตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อได้ทำให้ตลาดเริ่มมองว่าผลประกอบการของแอปเปิลอาจจะกลับมาได้อย่างเร็วคือไตรมาสนี้ อย่างช้าอาจจะเป็นไตรมาสที่ 3 เพราะหุ้นแอปเปิลยังสามารถเติบโตได้จากคุณภาพของสินค้าและการบริการที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
นายอามิด ดายานานี นักวิเคราะห์จาก Evercore ISI อธิบายถึงสาเหตุความเชื่อมั่นของเขาในหุ้นของแอปเปิลเมื่อเดือนที่แล้วว่า “แอปเปิลเหมือนเรือสำราญลำใหญ่ที่วัสดุของเรือทั้งลำสร้างมาจากวัสดุชั้นดี ดังนั้นต่อให้ต้องผ่านมรสุมใหญ่แค่ไหนผู้โดยสารก็สามารถมั่นใจได้ว่าเรือลำนี้จะสามารถลอยผ่านพายุลูกนั้นไปได้ นอกจากนี้แอปเปิลยังมีเงินในมืออีกมากถึง $20,700 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งหนี้ระยะสั้นและระยะยาวที่บริษัทบริหารอยู่มีอยู่เพียง $10,800 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น”
3. Home Depot
โฮมดีพอต (NYSE:HD) คืออีกบริษัทผู้ค้าปลีกที่ยังคงทำผลงานได้และเอาตัวรอดได้แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะต้องเข้าสู่สภาวะถดถอย ก่อนที่การระบาดของโควิด-19 จะเดินทางมาถึงสหรัฐฯ ทางบริษัทพึ่งได้มีการปรับปรุงร้านค้าปลีกที่มีอยู่ทั่วสหรัฐฯ และอัปเกรดระบบการค้าให้เป็นแบบดิจิทัลเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น ถือเป็นการอัปเกรดได้ถูกจังหวะและช่วงเวลาพอดี
นักวิเคราะห์เชื่อว่าด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำจะทำให้ผู้คนมีกำลังในการกู้เพื่อนำเงินไปซื้อ ขายหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะใหม่หรือเก่าได้ง่ายหลังจากวิกฤตไวรัสโคโรนาผ่านไป จากปัจจัยนี้นอกจากยอดขายโฮมดีพอตจะเติบโตขึ้นแล้วการปันผลก็มีโอกาสเติบโตขึ้นจาก 380% ขึ้นไปอีก ในปัจจุบันบริษัทมีเปอร์เซนต์อัตราการปันผลอยู่ที่ 42%
ล่าสุดราคาหุ้นของโฮมดีพอตมีราคาปิดอยู่ที่ $194.82 ปรับตัวลดลง 11% นับตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงปัจจุบัน มีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $6 คิดเป็น 3.12%