หุ้นที่ทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

การมาถึงของยุคอินเตอร์เน็ตจึงทำให้เราสามารถหาอ่านบทวิเคราะห์หุ้นหรือพฤติกรรมในตลาดได้ไม่ยาก ในยุคที่ใครๆ ก็สามารตั้งตัวเองเป็นอาจารย์หรือกูรูหุ้นได้แม้จะมีความคิดต่างกันแต่ในตอนนี้เราเชื่อว่าส่วนใหญ่จะพูดเหมือนกันแน่นอนว่าโลกกำลังประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

นายเดวิด คอสตินหัวหน้านักวางกลยุทธ์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งสถาบันการเงินชื่อดังโกลด์แมน แซคส์ได้ออกมาเตือนนักลงทุนว่าอย่าพึ่งดีใจเกินไปกับขาขึ้นของดัชนี S&P 500ในตอนนี้ที่วิ่งขึ้นมามากกว่า 20% จากจุดต่ำสุดของราคาเมื่อเดือนมีนาคมที่ $2191.86

คุณเดวิดให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “ความเสี่ยงที่ตลาดจะมุ่งหน้าลงสู่แนวโน้มขาลงต่อยังมีอยู่มากกว่าโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวสูงขึ้น ผมเข้าใจดีว่าในยุคนี้นักลงทุนหน้าใหม่ไม่มีใครเกิดทันในยุควิกฤตการเงินปี 2008 ช่วงนั้นขาขึ้นของตลาดเกินขึ้นหลายรูปแบบมากจนผมตั้งชื่อให้ช่วงเวลานั้นว่า “การปรับตัวขึ้นของแนวโน้มขาลง” บางวันกราฟก็ปรับตัวขึ้นอย่างที่เห็นกัน 20% แบบนี้เลย แต่กว่าเราจะได้เห็นจุดต่ำสุดของราคาจริงๆ ต้องรอไปจนถึงเดือนมีนาคมปี 2009 เลยทีเดียว”

นอกจากคำพูดของตัวแทนจากโกลด์แมน แซคส์แล้วยังมีอีกหลายๆ เหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าการดีดขึ้นมาของดัชนี S&P 500 เป็นเพียงการยืดระยะเวลาของขาลงให้ยาวออกไปอีกสักระยะเท่านั้น นักลงทุนยังจะต้องตั้งตนไม่ให้อยู่ในความประมาทและคำนวณถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของตลาดเอาไว้ตลอดเวลาตราบเท่าที่ข่าวไวรัสโคโรนายังอยู่คู่กับสหรัฐฯ อยู่ ตอนนี้มีโอกาสเกิน 70% เข้าไปแล้วที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย รายงานผลประกอบการของบริษัทจะต้องลดลงและต้องใช้เวลาเป็นหลักไตรมาสกว่าจะสามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้

สาเหตุที่นักลงทุนบางกลุ่มเริ่มเชื่อว่าสหรัฐฯ ได้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดและตลาดหุ้นกับดัชนีหลักๆ ได้ลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้วเพราะพวกเขาเห็นว่ายอดผู้ติดเชื้อในยุโรปและสหรัฐฯ ใกล้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว นายมาโค โคลาโนวิค นักวิเคราะห์จากเจพี มอร์แกนกล่าวหลังจากที่ตลาดหุ้นร่วงลงมามากกว่า 30% จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ว่า 

“พวกเราเชื่อว่าเราได้เห็นจำนวนตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดในสหรัฐฯ ไปแล้วเมื่อ 3-4 วันก่อน จากนั้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเราจะได้เห็นตัวเลขยอดผู้เสียชีวิตขึ้นสู่จุดสูงสุดเช่นกัน เป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ อาจจะสามารถกลับมาเปิดการค้าขายและทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดังเดิมใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า”

หุ้น 3 ตัวที่มีอัตราการเติบโตของการปันผลกำไร

“ไม่มีใครสามารถบอกอนาคตได้และเวลาจะเป็นผู้ให้คำตอบเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง” เราเชื่อว่านักลงทุนรู้ดีว่าคำพูดของเหล่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้่ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์จากชุดความรู้ที่พวกเขามีเท่านั้น เราจึงคิดว่ากลยุทธ์ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับช่วงเวลาแบบนี้คือการให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจโลกจะต้องเจ็บตัวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ได้ผลคือการซื้อหุ้นของบริษัทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เคยผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้ว มีเงินอยู่ในกระเป๋าเยอะพอที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้เป็นปีๆ และมีอัตราการปันผลอย่างสม่ำเสมอ หุ้น 3 ตัวดังต่อไปนี้คือบริษัทที่มีการปันผลมาอย่างยาวนานและไม่ต่ำกว่า 10 ปีที่เราได้คัดมาให้ผู้อ่านพิจารณา

บริษัทเจ้าของแบรนด์อาหารฟาสต์ฟู๊ดชื่อดังอย่างแมคโดนัลด์ (NYSE:MCD) คือตัวเลือกอันดับหนึ่งที่เราเลือกมา ถ้าดูจากภายนอกแล้วหุ้นของแมคโดนัลด์ดูเหมือนจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่าซื้อเพราะการส่งอาหารไปทั่วโลกของแมคโดนัลด์ต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากไวรัสโคโรนา

หุ้นแมคโดนัลด์ร่วงลงมากกว่า 11% ในปี 2020 และมีราคาปิดเมื่อวานอยู่ที่ $175.59 เรามองว่าขาลงในตอนนี้คือโอกาสอันดีสำหรับคนที่ต้องการเข้าไปถือหุ้นของบริษัท เหตุผลหลักๆ ที่เราเชียร์ให้เลือกหุ้นแมคโดนัลด์ในตอนนี้เลยคือการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอซึ่งตั้งแต่ปี 1976 มาจนถึงปัจจุบันแมคโดนัลด์ยังไม่เคยหยุดจ่ายเงินปันผลของตัวเองให้กับผู้ถือหุ้นเลยและยังเพิ่มเปอร์เซนต์การปันผลอยู่เรื่อยๆ ในทุกๆ ปี

บริษัทอันดับสองที่เราอยากให้คุณผู้อ่านได้เก็บไปพิจารณาคือจอห์นสัน & จอห์นสัน (NYSE:JNJ) บริษัทผู้อยู่ในอุตสาหกรรมยา เครื่องมือแพทย์และสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1886 ตลอด 57 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มอัตราการปันผลในทุกๆ ปี ทำสถิติเพิ่มอัตราการปันผลในทุกๆ ปีติดต่อกันอย่างน้อย 50 ปีแล้ว แม้ว่าปัจจุบันหุ้น J&J จะปรับตัวลดลง 6% และมีราคาปิดเมื่อวานอยู่ที่ $137.48

หุ้นตัวสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำเชื่อว่าทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นก็คือบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ชื่อดังวอล์ท ดิสนีย์ (NYSE:DIS) แม้จะเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดตัวหนึ่งจากไวรัสโคโรนาที่ส่งผลให้สวนสนุกของบริษัทในหลายๆ ที่ทั่วโลกต้องถูกระงับการให้บริการอย่างไม่มีกำหนดและหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีของดิสนีย์อย่าง “มู่หลาน” ต้องเลื่อนวันฉายออกไปแต่ธุรกิจของดิสนีย์ก็ยังปันผลตอบแทนคืนให้กับผู้ถือหุ้นได้ ปัจจุบันหุ้นดิสนีย์ร่วงลงมามากกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปี 2020 มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวานนี้อยู่ที่ $101.24

โดยสรุปแล้ว…

ถ้าเศรษฐกิจโลกจะต้องเข้าสู่สภาวะการถดถอยอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว การเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนมาเป็นหุ้นที่มีอัตราการปันผลมาอย่างยาวนานเกิน 10 ปีถือเป็นยุทธวิถีการรุกด้วยการตั้งรับที่ดีวิธีหนึ่ง การปันผลอย่างต่อเนื่องแม้จะลดลงแต่ก็ยังปันผลสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนผู้ถือหุ้นได้ดีเพราะบริษัทที่อยู่มานานมักจจะมีการจัดการที่มั่นคงและมีสายป่านที่ยาวพอจะอยู่รอดไปได้อย่างน้อยก็ระดับหลักปีขึ้นไป