ประชุม ครม. วันนี้อนุมัติมาตรการบรรเทา COVID-19 ชุดที่ 3 วงเงินเกือบ 2 ล้านลบ.อ้างอิงจากสื่อออนไลน์ “ฐานเศรษฐกิจ Exclusive” คาดว่าวันนี้ที่ประชุม ครม.จะพิจารณาวงเงินมาตรการเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ชุดที่ 3 สูงถึง1.8 ล้านลบ. แบ่งเป็น (1) โยกงบรายจ่ายประจำปี 2563ของแต่ละกระทรวงราว 6-7 หมื่นลบ. (2) ใช้เงินทุนของ ธปท. ผ่านการออกพ.ร.ก. 2 ฉบับราว 9 แสนลบ. คือพ.ร.ก.จัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนวงเงิน 4 แสนลบ.และ พ.ร.ก. เพื่อออกซอฟท์โลนปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจโดยตรงคล้ายปี2555 อีกราว 5 แสนลบ. (3) กระทรวงการคลังออก พ.ร.ก. กู้เงินราว 9แสนลบ.เน้นช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในวงกว้างผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้วก่อนหน้านี้ ผนวกกับการแพร่ระบาดของCOVID-19 ทีทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักประชาชนและผู้ประกอบการจึงถูกกระทบเชิงลบในวงกว้าง ขณะที่สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจเริ่มตึงตัวจากความไม่เชื่อมั่นกลไกลของตลาดการเงินการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยมาตรการชุดที่ 3 แบ่งได้เป็น3 ส่วนหลัก คือ
(1) เยียวยาประชาชน - ดูแลเกษตรกรและลูกจ้างแรงงานโดยมีการขยายจำนวนผู้ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3เดือน จาก 3 ล้านคนเป็น 9 ล้านคนคิดเป็นวงเงินรวม 1.35 แสนลบ.
(2) ดูแลกิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงหยุดชะงัก -จัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่และดูแลเศรษฐกิจในพื้นที่ภูมิลำเนาของแรงงานโดยภาครัฐจะใช้โอกาสนี้เร่งลงทุนเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานประเทศ
(3) ดูแลสภาพคล่องผู้ประกอบการผ่านกลไกการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดตราสารหนี้และการเสริมสภาพคล่องโดยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของ ธปท.รวมมาตรการ 1-2 ที่ออกก่อนหน้านี้ เม็ดเงินเยียวยาจะพุ่งแตะ 11%ของ GDP ใกล้สิงคโปร์เรายังคงมุมมองเดิมว่ารัฐบาลสามารถก่อหนี้สาธารณะได้อีก 5-8 แสนลบ.โดยไม่เสียวินัยการคลังที่ 60% ของ GDP และพฤติกรรมในอดีต (5ปีย้อนหลัง) ที่ 45-47% ของ GDP จากปัจจุบันอยู่ที่ 41.3% ของ GDPซึ่งเมื่อรวมเม็ดเงินจากมาตรการชุดที่ 1-2 ราว 5.2 แสนลบ.คาดว่าเม็ดเงินเฉพาะนโยบายการคลังทั้ง 3 ชุด จะสูงถึง 1.9 ล้านลบ. คิดเป็น
STRATEGY REPORT
11% ของ GDP2562 มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 4.1% ของ GDPอย่างมีนัยสำคัญ และใกล้เคียงกับสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับว่าออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจได้ทันท่วงที ขณะที่การเสริมสภาพคล่องผ่านนโยบายการเงินของ ธปท.ถ้ารวมเม็ดเงินเข้าซื้อตราสารหนี้ 1 แสนลบ. และการจัดตั้งกองทุนอีก 1 แสนลบ. จะมีเม็ดเงินรวมราว 1 ล้านลบ. คิดเป็น 5.9% ของ GDP2562
เมื่อรวมทั้งนโยบายการเงินและการคลังจะอยู่ที่ 17% ของ GDP2562น่าจะรองรับสภาพคล่องที่หายไปตามคาดการณ์ GDP ระหว่าง -5% ถึง -7%ได้ไม่ยาก ซึ่งแม้ว่าจะมีธุรกิจปิดตัวและแรงงานที่ต้องว่างงานบ้างแต่อย่างน้อยภาครัฐก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเร่งแก้ปัญหาและทำให้เชื้อมั่นว่าผลกระทบจะไม่ลามเป็นโดมิโน่
SET INDEX SET มักบวกเด่นในปีปีที่ออก พ.ร.ก. กู้เงิน และกลุ่มที่ Underperform จะฟื้นกลับเร็วย้อนไปถึงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ประเทศไทยออก พ.ร.ก. กู้เงิน 4 ครั้งคือ ปี2541 (SET -4.5%), ปี 2545 (SET +17%), ปี 2552 (SET +63%), ปี 2555(SET +36%)ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแรงหนุนด้านสภาพคล่องจากการอัดฉีดเงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของธนาคารกลางทั่วโลก แต่ที่น่าสังเกตคือ การออก พ.ร.ก.กู้เงินมักมาพร้อมการคลายตัวของวิกฤติจึงทำให้สภาพคล่องไปเร่งให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มUnderperform ในแต่ละรอบจะฟื้นตัวกลับได้เร็วหลังออกพ.ร.ก.เพราะคาดหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือมากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งกลุ่มที่Underperform รอบนี้คือ แบงก์ ท่องเที่ยว ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขนส่งรับเหมาก่อสร้าง หุ้นที่เป็นผู้นำของแต่ละกลุ่มมีโอกาสฟื้นตัวได้ก่อน เช่น BBL/SCB/ MINT/ ERW/ KCE/ DELTA/ AOT/ BTS/ BEM/ CK
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities