เรียกได้ว่าตอนนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เอาจริงไม่มีกั๊กอีกต่อไปแล้วเพื่อหยุดยั้งแนวโน้มขาลงในตลาดหุ้น อุ้มราคาพันธบัตรรัฐบาลและเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ จะเปิดทำการเมื่อวานนี้เฟดได้ประกาศแผนว่าจะทุ่มเงินจำนวน $25,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อตราสารการเงินที่ผู้ซื้อลงทุนในสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBS) และอีก $37,500 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่ออุ้มราคาพันธบัตรรัฐบาลในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำนโยบายตราสารการเงินที่สินทรัพย์ซึ่งนำมาหนุนหลังเพื่อออกเป็นสินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่หลักประกันจำนอง (ABS) ให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้เพิ่มสภาพคล่อง สำคัญที่สุดเลยคือเฟดประกาศทำ QE โดยที่ไม่มีวงเงินจำกัดซึ่งหมายความว่าเฟดจะสามารถซื้อสินทรัพย์อะไรก็ได้ตามต้องการเพื่อพยุงตลาดเอาไว้ แม้ว่าเฟดจะเอาจริงขนาดนี้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดก็คือดัชนีหลักๆ ยังคงปรับตัวลดลงกว่าเดิมอีกครั้ง
ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติหากว่าเฟดดำเนินการเช่นนี้เชื่อได้เลยว่าตลาดหุ้นจะพุ่งกระจุยกระจายในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์จะต้องร่วงลง แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้เกิดจากโรคระบาดไม่ใช่ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้นไม่ว่าเฟดจะงัดท่าไม้ตายอะไรออกมาก็ยังเทียบกับตัวเลขยอดจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นวันละเกิน 1,000 คนในสหรัฐฯ ไม่ได้และตลาดหุ้นก็ยังคงปรับตัวลดลงต่อ
ยิ่งไปกว่านั้นกฎหมายชุดโปรโมชันเยียวยาทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ยังไม่ผ่านมติจากสภา นอกจากพรรคฝ่ายค้านจะยังไม่เห็นด้วยแล้วยังมีตัวแทนจากพรรคริพับลิกัน 5 คนที่ต้องอยู่ในช่วงกักตัวเพื่อดูอาการไวรัสโคโรนาซึ่งทำให้ทรัมป์ไม่ได้รับคะแนนโหวต 60 เสียงตามที่พวกเขาต้องการ แม้ข้อกล่าวหาที่ทำให้นโยบายของทรัมป์ไม่ผ่านครั้งนี้คือเป็นไปเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับธุรกิจใหญ่ๆ ในอเมริกามากกว่าที่จะเข้าถึงประชาชนแต่ถ้าเทียบกับนโยบายของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกแล้วถือว่ายังเป็นมาตรการที่ไม่รุนแรงเท่า ที่สำคัญที่สุดคือในสัปดาห์นี้ประชาชนชาวอเมริกันจะได้รู้ซึ้งและเข้าใจว่าการกักตัวเองอยู่บ้านจะยิ่งเข้มข้นขึ้นและลากยาวไปจนถึงเดือนเมษายนตามที่ศัลยแพทย์ใหญ่ของสหรัฐฯ ด็อกเตอร์เจอโรม อดัมส์ได้ออกมากล่าวเตือน
“ดูเหมือนว่าระยะเวลา 15 วันจะยังยาวไม่พอที่จะช่วยชาติให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ แต่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้และช่วยกันทำให้กราฟจำนวนผู้ติดเชื้อหักหัวลงให้ได้ภายใน 15 วันข้างหน้าเพื่อที่พวกเราจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง” - ด็อกเตอร์เจอโรม อดัมส์กล่าว
นายกเทศมนตรีและผู้ว่าการรัฐต่างๆ ทั่วประเทศยังคงให้โรงเรียนในรัฐของตนปิดไปจนกระทั่งผ่านซัมเมอร์นี้และจากภาพรวมที่กล่าวมายังไม่ใช่ข่าวดีพอที่จะทำให้ตลาดหุ้นและสกุลเงินฟื้นขึ้นมาได้ ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่ถูกเทขายอย่างรวดเร็วตอนที่เฟดประกาศมาตรการใหม่ก็จบวันด้วยการทะยานขึ้นสูงอีกครั้งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ยกเว้นสกุลเงินยูโร เป็นที่ถกเถียงว่าคนที่เข้ามาอุ้มสกุลเงินดอลลาร์ในตอนนี้ไม่ใช่ธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่เป็นกรมการคลังเพราะที่ผ่านมาสกุลเงินดอลลาร์ปรับตัวลดลงมามากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆ ประเทศเริ่มยกเรื่องการแทรกแซงทางการเงินโดยรัฐบาลขึ้นมาพูดกันเต็มไปหมด
สกุลเงินยูโรน่าจะยังปรับตัวลดลงต่อไปเพราะตอนนี้จำนวนยอดผู้เสียชีวิตในอิตาลีนั้นสูงยิ่งกว่าประเทศจีนจนเรียกได้ว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นวันละเกิน 10 คน สเปนก็มีสภาพที่ไม่ต่างจากอิตาลีมากนักในขณะที่ฝรั่งเศสและเยอรมันเองก็ตกอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงและกลัวว่าจะตามสเปนกับอิตาลีมาในไม่ช้าหลังจากที่ผู้นำประเทศเยอรมันอย่างนางอังเกลา แมร์เคิลต้องกักตัวเอง 14 วันเพื่อเฝ้าดูอาการ ธนาคารกลางของเยอรมันได้ออกมาเตือนเองเลยว่าเศรษฐกิจเยอรมันคงไม่อาจหลีกเลี่ยงสภาวะการถดถอยได้แล้วแม้ว่าจะมีการอัดฉีดเงินจำนวน 75,000 ล้านยูโรเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็ตาม จากข้อมูลการรายงานของ IFO และสถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจ (ZEW) ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของเยอรมันกลายเป็นตัวเลขในด้านลบเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของยูโรโซนในวันนี้จะต้องออกมาติดลบอย่างไม่ต้องสงสัยและจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าตอนนี้เศรษฐกิจในยูโรโซนแย่แค่ไหนเมื่อต้องเจอผลกระทบจากไวรัสโคโรนา กราฟ EUR/USD จะต้องลงไปอยู่ต่ำกว่า 1.05 เป็นแน่ซึ่งตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเวลาเท่านั้น