เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาทางทำเนียบขาวได้ประกาศคู่มือที่ประชาชนควรปฏิบัติเพื่อฝ่าวิกฤตไวรัสโคโรนายกตัวอย่างเช่น การห้ามไม่ให้มีการชุมนุมเกิน 10 คน การปิดโรงเรียน ผับ ร้านอาหารและสถานที่ที่มีความเสี่ยงอื่นๆ ทั่วประเทศ ถึงกระนั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้พยายามอย่างมากถึงมากที่สุดที่จะไม่ต้องใช้คำสั่งปิดล็อคเมือง แต่เพราะตอนนี้ไวรัสโคโรนาได้แพร่กระจายไปถึง 50 รัฐแล้วก็คงเหลือเพียงแต่เวลาเท่านั้นที่ทรัมป์จะต้องสั่งปิดล็อคเมืองเพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดของโรคให้ได้มากที่สุด หุ้น 3 ตัวดังต่อไปนี้คือหุ้นที่เราคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการอยู่บ้านของผู้คน
1. DocuSign
หุ้นของบริษัทผู้ให้บริการเซ็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์โดยเน้นให้บริการภาคธุรกิจ เพื่อนำมาใช้แทนกระบวนการเอกสารกระดาษแบบดั้งเดิมซึ่งยุ่งยากและค่าใช้จ่ายสูง DocuSign (NASDAQ:DOCU) ปรับตัวขึ้นอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้น DocuSign ทำผลงานได้เป็นอย่างดีเมื่อเทียบกับธุรกิจที่จำเป็นต้องพึ่งพาการเดินทางในรูปแบบอื่นๆ
หุ้น DocuSign ซึ่งมีลูกค้ามากกว่า 475,000 คนและมีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลกได้เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดไว้ที่ $92.55 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ มีราคาปิดเมื่อวานนี้อยู่ที่ $76.61 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $1,273 ล้านเหรียญสหรัฐ
เราเชื่อว่า DocuSign จะมียอดผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่บังคับให้ผู้คนและบริษัททั่วโลกต้องทำงานอยู่ที่บ้าน เครื่องมือที่สามารถทำงานทางไกลไ้จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมาทันที
ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา DocuSign สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ไปได้ บริษัทมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 12 เซนต์ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้วถึง 100% ตัวเลขยอดผลกำไรรวมทั้งหมดที่บริษัทสามารถทำได้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 38% คิดเป็น $274.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
2. Netflix
คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมากสำหรับบริษัทชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) เจ้าของธุรกิจภาพยนตร์สตรีมมิ่งที่ต้องการให้ผู้ใช้งานได้มีความสุขกับการดูหนังอยู่ที่บ้านอยู่แล้วย่อมได้เปรียบกว่าผู้ทำธุรกิจอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $14,031 ล้านเหรียญสหรัฐ เคยสร้างจุดสูงสุดตลอด 52 สัปดาห์ไว้ที่ $393.52 เมื่อวันที่ 3 มีนาคมและปัจจุบันมีราคาปิดอยู่ที่ $315.47
เมื่อรัฐบาลทั่วโลกจำเป็นที่จะต้องให้ประชาชนของตนทำงานหรือประกอบกิจกรรมอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่และงดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นประเทศชื่อดังของโลกอย่างฝรั่งเศส สเปน อิตาลีต่างก็ถูกสั่งปิดเมืองกันไปหมดแล้ว ความรื่นรมณ์ของผู้คนก็ไม่มีทางเลือกเหลืออยู่มากนักนอกจากการนอนอยู่บ้าน ทำงานไปด้วยดูเน็ตฟลิกซ์ไปด้วย (ทางที่ดีควรทำงานให้เสร็จก่อนค่อยดูเน็ตฟลิกซ์จะดีกว่า) เชื่อว่าตัวเลขจำนวนผู้สมัครเป็นสมาชิกของเน็ตฟลิกซ์ภายในสัปดาห์หรือเดือนข้างหน้านี้จะต้องเพิ่มขึ้นจากทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศเองก็ตาม
เมื่อปี 2019 ตัวเลขยอดจำนวนผู้เป็นสมาชิกของเน็ตฟลิกซ์ทั่วโลกมีมากถึง 167 ล้านคนและก่อนหน้านี้ที่มีการระบาดอย่างหนักของไวรัสโคโรนาในประเทศโซนเอเชียอย่างเช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และที่หนักๆ อย่างอิตาลีและสเปนพบว่ายอดดาวน์โหลดหนังของเน็ตฟลิกซ์เพื่อเอาไว้รับชมเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
เน็ตฟลิกซ์จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสถัดไปในวันที่ 20 เมษยน นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) จะเพิ่มขึ้นจาก $0.76 ขึ้นเป็น $1.61 ในไตรมาสแรกคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 111% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ส่วนตัวเลขผลกำไรรวมทั้งหมดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 27% จากตัวเลขผลกำไรเดิมในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ $575 ล้านเหรียญสหรัฐ
3. Teladoc Health
บริษัทผู้ให้บริการให้คำปรึกษาทางด้านการแพทย์ทางไกลที่ใหญ่ที่สุดและเป็นบริษัทแรกของสหรัฐอเมริกา Teladoc Health (NYSE:TDOC) สามารถใช้เทคโนโลยีอย่างเช่น โทรศัพท์ ซอฟท์แวร์สำหรับการประชุมวิดีโอผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แอปพลิเคชันในการให้คำปรึกษาทางการแพทย์สำหรับผู้ที่ต้องการ บริษัทมีสมาชิกทั้งโลกรวม 27 ล้านคนใน 130 ประเทศซึ่งเป็นตัวเลขในช่วงสิ้นปี 2019
หุ้นของ Teladoc Health ปรับตัวขึ้นอย่างมั่นคงมาตลอดและสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $153.75 ได้เมื่อวันที่ 11 เดือนนี้ทั้งๆ ที่หุ้นตัวอื่นๆ กำลังร่วงลงอย่างไม่เป็นท่าพ่ายแพ้ให้แก่โคโรนาไวรัส เมื่อวานนี้หุ้นของ Teladoc Health มีราคาปิดอยู่ที่ $136.93 และมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ $860 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วบริษัทเผยว่ายอดจำนวนคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการปรึกษาเพิ่มมากขึ้น 50% ภายในสองสัปดาห์ล่าสุดของเดือนมีนาคมปี 2020 มีเคสที่ต้องการขอเข้าพบคุณหมอจริงๆ เพิ่มขึ้น 15,000 เคสต่อวันและนับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดขึ้นมามีผู้ขอเข้ารับคำปรึกษาในแต่ละสัปดาห์มากถึง 100,000 เคส
Lew Levy หัวหน้าคณะแพทย์ที่รับผิดชอบการให้คำปรึกษาผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตกล่าวว่า “เราพบว่ามีคนไข้เพิ่มมากขึ้นและกำลังเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ด้วยในแต่ละลัปดาห์ เราเคยเห็นจำนวนเคสที่มากขนาดนี้มาแล้วในช่วงไข้หวัดระบาดปี 2018 ซึ่งเราเชื่อว่าการบริการให้คำแนะนำผ่านอินเตอร์เน็ตแบบนี้จะกลายเป็นมาตรฐานทั่วไปใหม่ในโลกอนาคตเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการคำแนะนำแต่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล”
แม้ว่ารายงานผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสล่าสุดโดยรวมแล้วจะเป็นตัวเลขที่ลดลงและน่าผิดหวัง แต่ตัวเลขยอดผลกำไรรวมของบริษัทกลับสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้เนื่องจากได้รับกระแสตอบรับที่จากทั้งในสหรัฐฯ และพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก ต้องมารอดูกันว่าในการรายงานผลประกอบการรอบถัดไปในวันที่ 12 พฤษภาคมตัวเลขจะเป็นเช่นไรเพราะในตอนนี้ตัวเลขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในอเมริกากำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน