ไม่ต้องบอกนักลงทุนก็สามารถทราบได้ด้วยตนเองว่าภาพรวมของการลงทุนในสัปดาห์นี้เรายังคงต้องอยู่กับไวรัสโคโรนาไปอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพวกเราต่างก็ได้ร่วมเป็นสักขีพยานการผันผวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุนครั้งหนึ่งนับตั้งแต่วิกฤตทางการเงินในปี 2008 โควิด-19 คือตัวการหลักในการผลักตลาดเข้าสู่การผันผวนจนหลายๆ ประเทศต้องงัดมาตรการพิเศษออกมาใช้
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศสเปนกลายเป็นชาติที่สองในทวีปยุโรปที่สั่งปิดเมืองตามประเทศอิตาลีมาติดๆ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้ิอไวรัสโคโรนาที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว สหรัฐอเมริกาสั่งห้ามสายการบินจากยุโรป (รวมทั้งอังกฤษและไอร์แลนด์) บินเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่สหรัฐฯ ยังมีข่าวดีอยู่เมื่อนางแนนซี่ เปโลซี่ผู้นำพรรคฝ่ายค้านสามารถบรรลุข้อตกลงกับฝั่งรัฐบาลในการอนุญาตให้ประชาชนสหรัฐฯ สามารถเข้ารับการตรวจสอบเชื้อไวรัสโคโรนาได้ฟรีไม่ว่าบุคคลๆ นั้นจะมีหรือไม่มีประกับสังคมหรือไม่ ถือว่าเป็นข่าวดียิ่งจนทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ล้วนปรับตัวกลับขึ้นมาก่อนตลาดปิด
ดัชนีดาวโจนส์จากที่เคยติดลบหนักที่สุดเมื่อวันจันทร์ที่แล้วด้วยการปรับตัวลงเกือบ 2,000 จุดในวันเดียวจนตลาดต้องทำ Circuit Breaker และกลายเป็นประวัติศาสตร์ “วันจันทร์ทมิฬ (Black Monday)” นับตั้งแต่ปี 1987 ก็สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้ 1,985 จุด ขึ้นมายัง 23,185 จุดคิดเป็น 9.4% และกลายเป็นการทะยานขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของดัชนีดาวโจนส์
นอกจากนี้รัฐบาลทั่วโลกต่างเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความตื่นตระหนกของประชาชน การลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางฯ กลายเป็นสิ่งที่ไม่เกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ นักลงทุน รวมถึงประชาชนทั่วไป ถึงกระนั้นเราก็ยังมีหุ้น 3 ตัวที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้มาฝากคุณผู้อ่านอีกเช่นเคย
1. Apple (NASDAQ:AAPL)
บริษัทผู้ผลิตมือถือไอโฟน (iPhone) อย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในกลุ่ม “5 เทพหุ้นเทคฯ(FAANG)” เนื่องจากบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีนและร้านค้ารายย่อยทั่วโลกตอนนี้ถูกสั่งปิดให้บริการหมดทุกสาขาซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท
กราฟรายสัปดาห์ของแอปเปิล
CEO ทิม คุก นายใหญ่ของบริษัทแอปเปิลเขียนลงบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัทว่า...
“ร้านค้าของแอปเปิลทุกสาขาจะงดให้บริการชั่วคราวจนกระทั่งถึงวันที่ 27 มีนาคม 2020 แต่เราจะยังคงจ่ายเงินค่าจ้างให้กับพนักงานของเราต่อไป นอกจากนี้พนักงานของเรายังได้รับอนุญาตให้สามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้หากมีความจำเป็น วิธีการที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสคือเราต้องใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชิียลมีเดียให้เป็นประโยชน์”
ก่อนหน้านี้แอปเปิลได้ออกมายอมรับยอมรับแล้วว่าผลกำไรในไตรมาสแรกคาดว่าจะชะลอตัวลงและตัวเลขน่าจะไปไม่ถึงเป้าแน่นอนเนื่องจากโรงงานที่สร้างผลิตภัณฑ์อย่าง iPhone,iPad และอื่นๆ ล้วนได้รับผลกระทบจากช่วงที่ไวรัสยังคงระบาดอยู่ในประเทศจีนทั้งสิ้น
นับตั้งแต่เกิดวิกฤตไวรัสโคโรนาหุ้นของแอปเปิ้ลก็ร่วงลงมากกว่า 15% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตามเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นบริษัทสามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้ 12% มีราคาปิดอยู่ที่ $277.97
2. Microsoft
หลังจากที่ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) อย่างบิลล์ เกตส์ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนเป็นกังวลว่าอนาคตของบริษัทจะเป็นเช่นไรต่อไป
กราฟรายสัปดาห์ของหุ้นไมโครซอฟท์
ก่อนหน้าที่บิลล์ เกตส์จะประกาศลงจากตำแหน่ง CEO เขาได้ลดลทบาทของตัวเองลงมาหลายปีแล้วและได้มอบตำแหน่ง CEO ให้กับคุณซาเทีย นาเดลลาเป็นผู้บริหารบริษัทซึ่งรวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มผลผลิตทั้งในแง่ของซอฟต์แวร์และระบบคอมพิวเตอร์สมองกล
“ไมโครซอฟท์จะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของผมตลอดไปและผมจะยังทำงานร่วมกับซาเทียและทีมงานคนอื่นๆ เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถก้าวไปตามทิศทางและวิสัยทัศน์ที่เราวางเอาไว้และสามารถบรรลุเป้าหมายเดียวกัน ผมรู้สึกดีใจมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อนที่จะได้เห็นไมโครซอฟท์เติบโตต่อไปและเป็นประโยชน์ให้กับโลกใบนี้” - บิลล์ เกตส์โพสต์ลงบล็อกของเขาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
แม้จะเป็นหนึ่งในหุ้นที่สามารถทำผลงานได้ดีที่สุดเมื่อปีที่แล้วและสามารถปันผลกำไรคืนสู่นักลงทุนได้มากถึง 60% ถึงกระนั้นนับตั้งแต่จุดสูงสุดของหุ้นไมโครซอฟท์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปัจจุบันราคาร่วงลงมาแล้วทั้งสิ้น 16% แต่วันศุกร์ที่ผ่านมาราคาสามารถดีดกลับขึ้นไปได้ 14.2% มีราคาอยู่ปิดอยู่ที่ $158.83
3. FedEx
บริษัทผู้ให้บริการรับส่งพัสดุและขนส่งสินค้าชื่อดังเฟดเอ็กซ์ (NYSE:FDX) จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ในวันอังคารที่ 17 มีนาคม หลังจากตลาดทรัพย์สหรัฐปิด โดยเฉลี่ยแล้วนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $1.53 และมีตัวเลขผลกำไรรวมแล้วทั้งสิ้น $1,694 ล้านเหรียญสหรัฐ
กราฟรายสัปดาห์ของหุ้นเฟดเอ็กซ์
การรายงานผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นในวันอังคารนี้ถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างมากสำหรับเฟดเอ็กซ์ ผู้ถือหุ้นอยากเห็นว่าบริษัทจะมีตัวเลขกำไร-ขาดทุนจากการขนส่งเป็นเช่นไร (โดยเฉพาะในประเทศจีน) เพราะเป็นที่ทราบดีว่าประเภทของบริษัทที่รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาคือการขนส่งและเฟดเอ็กซ์มีระบบเครือข่ายขนส่งกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก
ตัวเลขผลประกอบการเมื่อไตรมาสที่สองในเดือนธันวาคมสร้างความผิดหวังให้กับผู้ถือหุ้นเพราะบริษัทมีตัวเลขรายงานผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ดังนั้นในรอบนี้นักวิเคราะห์จึงมองว่าตัวเลขการปันผลกำไรของหุ้นเฟดเอ็กซ์น่าจะอยู่ที่ประมาณ $11.50 - $10.50 ในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม
ถือเป็นตัวเลขการปันผลที่ต่ำที่สุดครั้งหนึ่งเลยของบริษัทนับตั้งแต่วิกฤตทางการเงินในปึ 2008 ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หุ้นของบริษัทตกอยู่ในความกดดันจากผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก ตัวเลขราคาล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นเฟดเอ็กซ์มีราคาปิดอยู่ที่ $106.63 ปรับตัวขึ้นมา 10% แต่ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ปรับตัวลงมามากกว่า 40% เข้าไปแล้ว