สถานการณ์ความคืบหน้าของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนายังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความปวดหัวให้กับนักลงทุนต่อไป ล่าสุดประชาชนในสหรัฐอเมริกาเริ่มตื่นตัวกับสถานการณ์ของโควิด-19 แล้วหลังจากมีรายงานผู้ติดเชื้อเสียชีวิตเป็นรายที่สองส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งโลกมีตัวเลขเพิ่มขึ้นเกิน 3,000 คนและมียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมเป็น 88,000 คนไปแล้ว
น้ำมันดิบถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่ในสัปดาห์นี้เราอยากให้นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์ของน้ำมันดิบเอาไว้ให้ดีเพราะอาจได้รับข่าวดีทำให้ราคาสามารถดีดตัวขึ้นได้จากหลายๆ ปัจจัยเช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแคนาดากับออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังอาจจะมีข่าวความคืบหน้าความตึงเครียดของซีเรียและที่สำคัญที่สุดคือการประชุมของกลุ่ม OPEC ที่จะเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้ที่นักลงทุนคาดหวังกันเหลือเกินว่าโอเปกจะต้องลดกำลังการผลิตน้ำมันลงเพื่อพยุงราคาน้ำมันเอาไว้อย่างแน่นอน
รัสเซียคือตัวแปรสำคัญของการประชุมโอเปก
การประชุมของโอเปกที่มีระยะเวลา 2 วันในช่วงวันพฤหัสบดีและศุกร์นี้จะยังคงเกิดขึ้นแม้จะมีข่าวว่าหากรัสเซียไม่ยินยอมลดกำลังการผลิตฯด้วยอาจทำให้การประชุมในวันถัดไปต้องล้มเลิกเลยทีเดียว เนื่องจากงานประชุมระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานในระหว่างวันที่ 9-13 มีนาคมถูกยกเลิกไปแล้วเพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาทำให้ความหวังของน้ำมันดิบจึงเหลือเพียงการประชุมของโอเปกเท่านั้น
นายโดมินิค ชิริเชลา ผู้อำนวยการดูแลด้านความเสี่ยงของการลงทุนจากสถาบันการจัดการด้านพลังงาน ณ กรุงนิวยอร์กแสดงความคิดเห็นว่า
“มีรายงานว่าซาอุดิอาระเบียตั้งใจจะทำให้ประเทศพันธมิตรเห็นด้วยกับการลดกำลังการผลิตลงอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบเอาไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาลดกำลังการการผลิตไปแล้ว 2.1 ล้านบาร์เรล ถ้ารวมกับครั้งนี้ด้วยจะกลายเป็น 3.1 ล้านบาร์เรลซึ่งจะถือว่าเป็นการลดกำลังการผลิตที่เยอะที่สุดในรอบทศวรรษ อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครทราบได้ว่าท้ายที่สุดแล้วรัสเซียซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจะยอมเซ็นสัญญาครั้งนี้ด้วยหรือไม่”
เมื่อช่วงเช้าของวันจันทร์เวลาบ่าย 3 โมงตามเวลาท้องถิ่นของสิงคโปร์พบว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 3% อยู่ที่ $46.12 ต่อบาร์เรลทั้งๆ ที่เมื่อวันศุกร์ยังปรับตัวลดลง 5% และในสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงรวมแล้วทั้งสิ้น 16% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้น 3.4% อยู่ที่ $51.36 โดยที่เมื่อวันศุกร์ยังปรับตัวลดลง 4.8% และในสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลงรวมแล้วทั้งสิ้น 15%
ข่าวจากซีเรีย, EIA, และการลดอัตราดอกเบี้ยอาจช่วงหนุนราคาน้ำมันดิบอีกแรง
นอกจากความคาดหวังที่มีต่อโอเปกของนักลงทุนจะช่วยให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาได้ในตลาดหุ้นฝั่งเอเชียแล้ว ยังมีข่าวที่ตุรกีสามารถการป้องกันฐานทัพตัวเองได้สำเร็จด้วยการยิงเครื่องบินรบของซีเรีย 2 ลำร่วงลงซึ่งอาจนำไปสู่สงครามตัวแทนระหว่างอิหร่าน รัสเซีย และนาโต้เป็นปัจจัยหนุนทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น
นายเจฟฟรีย์ ฮัลลีย์ นักวิเคราะห์แห่งโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ OANDA กล่าวว่า “แม้ราคาน้ำมันจะถูกผลักลงด้วยสถานการณ์อันย่ำแย่ของไวรัสโคโรนาแต่เพราะการประชุมของโอเปกและสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างตุรกีกับซีเรียทำให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น”
รายงานข้อมูลปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติคงคลังจาก EIA ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ที่จะรายงานในวันพุธอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวสูงขึ้นได้ถ้าหากข้อมูลตัวนี้ออกมามีตัวเลขดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ถึงกระนั้นอย่าลืมว่าสัปดาห์แรกของทุกเดือนจะมีข่าวใหญ่อย่างรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่อาจเปลี่ยนทิศทางของน้ำมันดิบได้ซึ่งในครั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่าการจ้างงานจะลดลงจากตัวเลขในคราวที่แล้ว 225.000 ตำแหน่งเหลือ 175,000 ตำแหน่ง
การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนต่างก็จับตามอง แม้ว่าที่ผ่านมาประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์จะยังเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าไม่จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยแต่ตอนนี้เมื่อข่าวโคโรนาไวรัสเริ่มสร้างความวุ่นวายบนผืนแผ่นดินอเมริกาแล้วจึงเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะยอมลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้
โกลด์แมน แซคส์คาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.2% ในขณะที่โกลด์แมน แซงคส์เชื่อว่าจะลดเพียง 0.5% เท่านั้น
ไวรัสโคโรนายังคงเป็นตัวแปรที่คาดเดาได้ยาก
แม้ว่าสถานการณ์ไวรัสโคโรนาจะมีปัจจัยบวกเข้ามาบ้างแต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะแย่ลงยิ่งกว่าเดิมโดยถ้าเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีข่าวจำนวนผู้เสียชีวิตหรือผู้ติดเชื้อกระโดดขึ้นแบบเกาหลีใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ เชื่อว่าหากเกิดขึ้นจริงนักลงทุนเตรียมเห็นสถานการณ์แบบเดียวกันกับช่วงวิกฤติทางการเงินในปี 2008 ได้เลยและเมื่อถึงตอนนั้นคงจะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับน้ำมันดิบอย่างเช่น “ราคาน้ำมันดิบจะลงไปได้อีกถึงไหน?”
ในสัปดาห์นี้สำหรับน้ำมันดิบ WTI เราตั้งแนวรับแรกไว้ก่อนที่ $43.85 โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ $42.36 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของราคาเมื่อเดือนธันวาคมปี 2018 จากราคาน้ำมันดิบเมื่อวันศุกร์ซึ่งอยู่ที่ $44.76 เราคาดว่าราคาจะปรับตัวลดลงมาอีก $2.50
ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ร่วงลงไปสู่ระดับราคา $48.95 มีจุดต่ำสุดที่ $46.11 ของเดือนมิถุนายนปี 2017 ซึ่งรอการทดสอบอยู่ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่่านมากราฟมีราคาปิดอยู่ที่ $49.67 เท่ากับว่าเบรนท์ต้องปรับตัวลดลงอีก $3.50 เพื่อลงสู่จุดต่ำสุดใหม่
ราคาทองคำพร้อมจะเฉิดฉายอีกครั้ง
นักวิเคราะห์เชื่อว่าราคาทองคำจะสามารถกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วทั้งราคาทองคำล่วงหน้าและสปอตพากันร่วงลงตัวละมากกว่า 3% โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากกองทุนและสถาบันต่างๆ ที่ถือทองไว้พากันออกเพื่อปรับสมดุลให้กับราคาทองคำ
ทันทีที่ตลาดหลักทรัพย์ฝั่งเอเชียเปิดในช่วงเช้าของวันจันทร์ราคาทองคำก็สามารถกลับคืนสู่ระดับราคา $1,600 ได้ทันทีโดยที่ ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ราคาทองคำล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้น 2.3% หรือเพิ่มขึ้น $36.05 มีราคาอยู่ที่ $1,602.75 ต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาทองคำสปอตปรับตัวสูงขึ้น 1.1% หรือเพิ่มขึ้น $17.14 มีราคาอยู่ที่ $1,601.88 ต่อออนซ์