หากเปรียบตลาดน้ำมันดิบเป็นบ้าน โคโรนาไวรัสเป็นไฟ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานท่านอับดุลลาซิส บิน ซัลมานเป็นเจ้าของบ้านและเรานักลงทุนเป็นสมาชิกคนอื่นๆ ภายในบ้าน จากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในปัจจุบันที่แพร่เข้าสู่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิตาลีและประเทศทางตะวันออกกลางได้บางประเทศแล้วเราคงต้องบอกเจ้าของบ้านให้รีบโทรตามนักดับเพลิงหรือรีบดำเนินการอะไรสักอย่างเพื่อดับไฟที่ชั้นหนึ่งได้แล้ว!!
ทันทีที่ตลาดลงทุนฝั่งเอเชียเปิด ทั้งราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ล้วนแล้วแต่ปรับตัวลดลงมากกว่า 2% จากความวิตกกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาหรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “COVID-19” เพราะล่าสุดแม้ประเทศจีนจะเริ่มควบคุมสถานการณ์ให้ทรงตัวได้แล้วแต่ที่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิตาลีและอิหร่านกำลังเข้าสู่ขั้นแรกของการแพร่เชื้อจนประเทศเกาหลีใต้ต้องเพิ่มมาตรการขึ้นเป็นระดับสูงสุด
ราคาน้ำมันดิบแม้ว่าในสัปดาห์ที่แล้วจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ราคาดูเหมือนว่าจะปรับตัวขึ้นได้แต่ขาขึ้นนั้นดูอ่อนแอเกินกว่าจะพึ่งพาให้เป็นขาขึ้นระยะยาวและก่อนที่ตลาดหุ้นจะเข้าสู่แดนลบก่อนปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ ราคาน้ำมันดิบก็ได้ปรับตัวลดลงมาเป็นการแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าขาขึ้นเมื่อสองวันก่อนได้จบลงแล้ว ถึงเวลากลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
ในขนาดที่ตลาดลงทุนทั่วโลกกำลังถูกปกคลุมด้วยหมอกร้ายแห่งไวรัสโคโรนามีแต่ราคาทองคำเท่านั้นที่ดูมีความสุขดีและไม่มีความกังวลใดๆ ที่สำคัญตอนนี้เป้าหมาย $1700 ต่อออนซ์ยิ่งดูเหมือนว่าใกล้จะเป็นจริงขึ้นมาเรื่อยๆ ตราบเท่าที่นักลงทุนยังเชื่อว่าการถือทองคำในช่วงวิกฤติไวรัสโคโรนาคือสินทรัพย์สำรองที่ปลอดภัย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทั้งตลาดทองคำล่วงหน้าและทองคำสปอตสามารถยืนเหนือ $1600 ได้แล้วทั้งคู่และกำลังมุ่งหน้าสร้างประวัติศาสตร์จุดสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปีไปพร้อมๆ กัน
ความกังวลว่าไวรัสโคโรนาจะสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วทุกมุมโลก
นายโดมินิค ไชริเชลา (Dominick Chirichella) ผู้อำนวยการแห่งสถาบันการจัดการพลังงาน ณ มหานครนิวยอร์กกล่าวเมื่อช่วงสุดสุปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ตลาดยังคงถูกปกคลุมไปด้วยความกลัวที่มีต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาทั้งในและนอกประเทศจีนซึ่งตอนนี้ข้อมูลบ่งชี้สภาวะทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจาก COVID-19 แล้ว”
ล่าสุดแม้แต่ประเทศที่ในสัปดาห์ที่แล้วยังมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกท่ามกลางโควิด-19 อย่างสหรัฐอเมริกาเริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่าเริ่มได้รับผลกระทบแล้วเช่นกันเมื่อดัชนีผู้จจัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013 ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตก็มีตัวเลขลดลงเหลือ 49.6 ขึ้นไม่ถึงตัวเลขคาดการณ์
ประเทศญี่ปุ่นที่กำลังเริ่มเข้าสู่ขั้นแรกของการแพร่เชื้อโคโรนาไวรัสมีข้อมูลดัชนีภาคการผลิตหดตัวอย่างรวดเร็วที่สุดภายในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาเมื่อตัวเลขการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าพันธมิตรหลักอย่างเกาหลีใต้และจีนลดลงซึ่งทั้งสองประเทศนั้นเองก็กำลังประสบปัญหาไวรัสโคโรนาอยู่
รัฐมนตรีกระทรวงการเงินที่ไปเข้าร่วมงานประชุม G20 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีข้อเรียกร้องให้ทุกประเทศสมาชิกทำงานร่วมกันเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาให้จงได้ ในขณะที่ IMF ได้ออกมาลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้จาก 6.0% เหลือ 5.6% และลดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกลง 0.1%
นางคริสตาลินา จอร์เจียวา (Kristalina Georgieva) ผู้นำคนปัจจุบันของ IMF กล่าวว่า “เรากำลังพยายามคาดการณ์ความเป็นไปได้ว่าอย่างเลวร้ายที่สุดโคโรนาไวรัสจะสามารถแพร่ระบาดไปได้ถึงไหนและต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่กว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ”
อ้างอิงจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ล่าสุด (ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้) เฉพาะในประเทศจีนมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 77,000 รายและยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 150 เป็น 2,592 ราย ในขณะที่ประเทศอื่นๆ มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,100 คนจาก 26 ประเทศ
บริษัทที่มีฐานการผลิตหลักอยู่ในจีนเป็นหลักล้วนแล้วต่างได้รับผลกระทบยกตัวอย่างเช่นบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตมือถือไอโฟนอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ออกมาบอกกับผู้ถือหุ้นอย่างตรงไปตรงมาว่าผลกำไรในไตรมาสล่าสุดที่บริษัทจะสามารถทำได้จะไม่มีทางเกินตัวเลขคาดการณ์หรือมีตัวเลขถล่มทลายอย่างที่แล้วมา
ตลาดอาจเข้าสู่การปรับฐานระยะยาว
ทำใจไว้ได้เลยว่าตลอดทั้งสัปดาห์นี้เราอาจจะได้เห็นข่าวร้ายที่เกิดจากโคโรนาไวรัสซึ่งส่งผลกับเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งสัปดาห์นี้สำนักงานสถิติ ณ กรุงปักกิ่งของประเทศจีนจะมีรายงานตัวเลขบ่งชี้ภาวะทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ออกมาเช่น ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและตัวเลขยอดขายปลีกของเดือนมกราคม นักวิเคราะห์มองว่าข้อมูลเหล่านี้อาจมีตัวเลขที่ลดลงซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเทขายกันมากขึ้น
กลับไปที่เรื่องบ้านที่กำลังถูกเผาของท่านอับดุลลาซิส บิน ซัลมานในตอนเกริ่นบทความกันอีกครั้ง จากข้อมูลในพารากราฟก่อนหน้านำไปสู่คำถามที่นักลงทุนในน้ำมันดิบต้องการคำตอบว่า “แล้วเจ้าของบ้านจะดับไฟอย่างไร?”
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสื่อชื่อดังอย่าง Wall Street Journal ได้ระบุว่าตอนนี้ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคูเวตเริ่มที่จะหมดความอดทนต่อการเล่มเกมของรัสเซียและอาจพิจารณาตัดพันธมิตรคนสำคัญออกไปเพื่อลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 300,000 บาร์เรลต่อวันจากเดิมที่ต้องการลดกำลังการผลิตลง 600,000 บาร์เรลต่อวันแต่ต้องถูกรัสเซียปฏิเสธข้อเสนออยู่เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามท่านเจ้าของบ้านอับดุลลาซิสได้ออกมาปฏิเสธข่าวของ Wall Street Journal ทันทีพร้อมยังกล่าวอีกว่า “ข่าวที่เขียนมานี้ช่างไร้สาระสิ้นดี” พร้อมทั้งบอกว่า “ที่ผ่านมา 4 ปีโอเปกกับรัสเซียผ่านเหตุการณ์อะไรด้วยกันมามากไม่มีทางที่เราจะตัดสัมพันธ์กันเพราะเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน”
โอเปกกับรัสเซียยังคงงัดข้อกันต่อไป
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซียนายอเล็กซานเดอร์ โนวาค (Alexander Novak) ยังคงยืนยันว่าโอเปกและประเทศพันธมิตรยังไม่ควรเร่งวาระการลดกำลังการผลิตน้ำมัน 600,000 บาร์เรลนี้เป็นเรื่องที่ต้องหาทางแก้ไขเร่งด่วนจนต้องประชุมกันในวันที่ 5-6 มีนาคมนี้ จริงอยู่ว่าราคาน้ำมันกำลังได้รับผลกระทบจากการบริโภคที่ลดลงของประเทศจีนแต่การลดลงก็ถือเป็นเรื่อง “ปกติในความไม่แน่นอน” และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ในเร็วๆ นี้
ถ้าท่านอับดุลลาซิสต้องการลดกำลังการผลิตน้ำมันลงและในเวลาเดียวกันก็ต้องการรักษาความสัมพันธ์กับรัสเซียเอาไว้ด้วย….แล้วเขาควรทำอย่างไร? ความช่วยเหลือจะมาจากไหน?
คำตอบนี้เราคงต้องร่วมพิสูจน์ไปพร้อมๆ กันกับโอเปกกับระยะเวลา 10 วันที่เหลืออยู่ก่อนการประชุมของกลุ่มโอเปก ณ กรุงเวียนนาจะเริ่มขึ้น ถือเป็น 10 วันที่นักลงทุนต้องลุ้นว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะไม่ลงไปต่ำกว่า $50 และเบรนท์จะไม่ลงไปต่ำกว่า $53 โดยที่โอเปกจะไม่สามารถดำเนินการใดๆ เพื่อพยุงราคาน้ำมันได้เลย
ทองคำไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่าลืมดูข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ
สำหรับทิศทางของราคาทองคำนั้นนักลงทุนทราบดีอยู่แล้วว่าตราบเท่าที่ไวรัสโคโรนายังไม่จบราคาทองคำยังคงมีโอกาสที่จะขึ้นต่อไป แต่ก็ควรจะเก็บข้อมูลแนวโน้มเพิ่มเติมจากคำแถลงการณ์ของบุคคลสำคัญในแวดวงเศรษฐกิจอย่างเช่น รองประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายริชาร์ด คลาริดา, ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ แห่งเมืองคลีฟแลนด์ลอร์เลตต้า เมสเตอร์, ประธานธนาคารกลางแห่งเมืองมินนิแอโพลิสนีล แคชคาลิ, ประธานธนาคารกลางรัฐดัลลัสนายโรเบิร์ต เคปแลนและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF นางกิทา โกพินาท
ที่สำคัญอย่าลืมจับตาดูดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาในวันอังคารซึ่งตัวเลขนี้จะบอกนักลงทุนได้ว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยมากแค่ไหนท่ามกลางวิกฤติไวรัสโคโรนา อีกข่าวของสหรัฐฯ ที่สำคัญคือยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนในวันพฤหัสบดี นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขนี้จะชะลอตัวลงเพราะผลผลิตจากโรงงานในฝั่งเอเชียชะลอตัวและการระงับการผลิตเครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์เอาไว้ชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนมกราคม
ฝั่งยุโรปมีคำแถลงการณ์ของประธานธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB) นางคริสติน ลาการ์ดและคำแถลงการณ์จากเจ้าหน้าที่สำคัญๆ ของ ECB อีกหลายคนเช่นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ฟิลลิป เลนส์เป็นต้น