สองสัปดาห์หลังจากที่เหตุการณ์ระหว่างสหรัฐฯ - อิหร่านผ่านพ้นไป ตอนนี้สถานการณ์ในลิเบียกลับมาเป็นประเด็นให้ราคาน้ำมันอาจต้องปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านักลงทุนจะไม่ได้สนใจข่าวของสถานการณ์ในลิเบียมากนัก สาเหตุเป็นเพราะตอนนี้นักลงทุนกำลังสนใจปริมาณน้ำมันดิบคงคลังอันมหาศาลของสหรัฐฯ และราคาพาลาเดียมที่เป็นไปได้ว่าราคาอาจวิ่งขึ้นไปถึง $3000
ภัยคุกคามต่อคลังน้ำมันดิบในตะวันออกกลาง
สถานการณ์ในลิเบียตอนนี้การส่งออกน้ำมันจากลิเบียอาจลดลงเหลือ 72,000 บาร์เรลต่อวันจากปกติที่เคยทำได้อยู่ที่ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน สาเหตุมาจากการปิดกั้นไม่ให้มีการส่งออกน้ำมันเกิดขึ้นในทางตอนเหนือของแอฟริกาโดยกลุ่มกองทัพแห่งชาติลิเบียของนายพลคาลิฟา ฮัฟตาร์ ซึ่งหลายๆ คนคาดว่าเขาคนนี้คือกัดดาฟีคนต่อไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 14 วันหลังจากสหรัฐฯ - อิหร่านสงบศึกกันไปแล้วแม้ว่าจะมีข่าวว่ามีจรวดตกอยู่ในสถานทูตอเมริกาในกรุงแบกแดดอีก 2 ลูก อย่างไรก็ตามไม่มีรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ
นักวิเคราะห์มองว่าในกรณีของลิเบียจะมีการส่งออกน้ำมันดิบอย่างน้อย 800,000 บาร์เรลต่อวันที่ถูกขัดขวางโดยกลุ่มกองกำลังกลุ่มนี้นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมาและยังรวมไปถึงการส่งออกน้ำมันดิบอีก 300,000 บาร์เรลต่อวันจาก El Sharara ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศหลังบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย (NOC) ได้ประกาศหยุดการผลิตน้ำมันดิบด้วยภาวะสุดวิสัย
สถานการณ์ในลิเบียอาจเป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบหรือไม่
ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่เมื่อวันอังคารราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดเอเชียกำลังปรับตัวลดลง 17 เซนต์หรือคิดเป็น 0.3% มีระดับราคาอยู่ที่ $64.86
ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 34 เซนต์หรือคิดเป็น 0.5% มีระดับราคาอยู่ที่ $58.41
คุณโทนี่ นูนาน ผู้จัดการด้านความเสี่ยงในตลาดน้ำมันแห่งบริษัท มิตซูบิชิ ในกรุงโตเกียวได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อรอยเตอร์ว่า “ทุกๆ ครั้งที่มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก น้ำมันดิบหรือทองคำมักจะดีดตัวสูงขึ้นแต่นักลงทุนส่วนใหญ่กลับมองหาแต่โอกาสที่จะขายสวนลงมา”
เป็นไปได้ที่สถานการณ์ในลิเบียถ้าแย่ลงไปกว่านี้อาจจะกระทบต่อราคาน้ำมันดิบจริงๆ อย่างไรก็ตามต้องรอดูราคาน้ำมันดิบที่อาจปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ กลับมาเปิดให้บริการตามปกติเนื่องจากวันหยุดมาร์ติน ลูเธอร์ คิง
สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าในตอนนี้คือน้ำมันดิบคงคลังอย่างมหาศาลของสหรัฐฯ
กลายเป็นว่าสถานการณ์ในลิเบียอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการมองข้ามแหล่งน้ำมันดิบในตะวันออกกลางและหันไปสนใจตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ มากกว่า ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจาก API มีตัวเลขอยู่ที่ 15.7 ล้านบาร์เรลในขณะที่ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจาก EIA มีตัวเลขอยู่ที่ 13.8 ล้านบาร์เรล เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ซึ่งมีอยู่ที่ 5.8 ล้านบาร์เรลและ 5 ล้านบาร์เรลตามลำดับ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์น้ำมันดิบในสหรัฐฯ ได้เปรียบกว่าคือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีรายงานการเพิ่มแท่นขุดเจาะน้ำมันเข้าไปอีก 14 แท่นเพื่อให้สหรัฐฯ มีตัวเลขแท่นขุดเจาะทั่วประเทศรวมแล้วทั้งสิ้น 673 แท่นซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน
“สาเหตุที่ภาพรวมของตลาดน้ำมันดิบยังดูเหมือนจะเป็นแนวโน้มขาลงมากกว่าเพราะราคายังไม่แน่ใจว่าโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงของฐานการผลิตน้ำมันจากทวีปตะวันออกกลางมาเป็นทวีปอเมริกาแทนหรือไม่” นายเกร็ก พริดดี้ ผู้อำนวยการแห่งสถาบันพลังงานในภูมิภาคตะวันออกกลางกล่าว
ราคาทองคำสามารถกลับไปยืนเหนือ $1,560 ได้สำเร็จ
ราคาทองคำสามารถกลับไปยืนเหนือระดับราคา $1560 ได้อีกครั้งหลังจากที่ตลาดดูไม่ไว้ใจกับสนธิสัญญาทางการค้าที่สหรัฐฯ - จีนพึ่งเซ็นกันไป ทั้งคู่ยังคงกำแพงภาษีไว้เหมือนเดิม นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้ปัจจัยสนับสนุนมาจากรายงานภาพรวมเศรษฐกิจของ IMF ในปี 2020 ที่ดูแล้วยังคงไม่มีความชัดเจน
ในช่วงเวลาที่กำลังเขียนบทความนี้ทั้งราคาทองคำสปอตและราคาทองคำล่วงหน้าต่างสามารถยืนเหนือ $1566 ได้ทั้งคู่แล้ว
“สาเหตุที่ราคาทองคำยังคงสูงขึ้นเพราะนักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นโดยที่เฟดยังไม่ยอมที่จะดำเนินการใดๆ เพิ่มเติมซึ่งนั่นหมายความว่าตัวเลขที่เฟดปรับลดลงมานั้นไม่สามารถลดลงได้มากกว่านี้อีกแล้ว” ทีดี ซีเคียวริตี้ กล่าว
เมื่อปี 2019 เฟดสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีถึง 3 ครั้งก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับมาดีขึ้นในช่วงสิ้นปีและยังลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งนักวิเคราะห์มองว่าคงเป็นเรื่องยากอีกที่จะให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ววันนี้ตราบใดที่ไม่มีข่าวสงครามการค้าเกิดขึ้นอีกรอบ
พาลาเดียมยังคงวิ่งขึ้นอย่างไม่สนใจใคร
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลกของสินค้าโภคภัณฑ์สัปดาห์นี้กลับเป็นราคาของพาลาเดียมที่เมื่อสัปดาห์ก่อนราคาสปอตสามารถขึ้นมาแตะ $2500 ได้สำเร็จคิดเป็นการปรับตัวขึ้นมามากถึง 30% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าทันทีที่โลกเจอแหล่งขุดพาลาเดียมใหม่เชื่อว่าความร้อนแรงของราคาพาลาเดียมในตอนนี้จะหยุดลงไปเองเพราะตอนนี้โลกพึ่งพาพาลาเดียมอยู่จากสองแหล่งหลักๆ เท่านั้นคืออเมริกาใต้และรัสเซีย
“การวิ่งขึ้นของราคาพาลาเดียมนั้นสูงเกินจริงไปแล้ว ถ้าใครมาบอกผมว่านี่คือเรื่องของปัจจัยพื้นฐานผมไม่เชื่อหรอก นี่มันฟองสบู่ชัดๆ” นาย Carsten Fritsch นักวิเคราะห์แห่ง Commerzbank ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
พาลาเดียมถือเป้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปี 2019 ราคาพาลาเดียมสปอตสามารถปรับตัวขึ้นมาได้ตลอดทั้งปี 55% และปัจจุบันนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาราคาพาลาเดียมสปอตปรับตัวขึ้นมาได้สูงถึง 30% สร้างจุดสูงสุดใหม่ของราคาที่ $2,584 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ดังนั้น Investing.com จึงมองว่าเป้าหมายต่อไปของราคาพาลาเดียมจะอยู่ที่ $3000