📈 คุณจะเริ่มลงทุนอย่างจริงจังในปี 2025 ไหม? เริ่มต้นก้าวแรกพร้อมรับส่วนลด 50% สำหรับสมาชิก InvestingProรับส่วนลด

เราจะคาดหวังอะไรได้บ้างจากตลาดน้ำมันในปี 2020?

เผยแพร่ 03/01/2563 17:54
LCO
-
CL
-

“ผมจะลงนามเซ็นสัญญาทางการค้าในขั้นแรกกับประเทศจีนตามที่เคยได้ให้สัญญาเอาไว้ในวันที่ 15 มกราคม 2020 พิธีการลงนามเซ็นสัญญาจะเกิดขึ้นที่ทำเนียบขาวซึ่งจะมีตัวแทนจากผู้นำของจีนมาเป็นสักขีพยานในพิธีครั้งนี้ จากนั้นผมจะบินตรงไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเริ่มพูดคุยการลงนามสัญญาทางการค้ากับจีนในขั้นที่สอง” ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวก่อนที่เทศกาลคริสต์มาส อีฟ จะเริ่มต้นขึ้น

ทวีตของโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

แม้ว่าตลาดลงทุนทั่วโลกจะดีใจและยินดีที่ได้ฟังโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเช่นนั้นแต่กลับไม่สามารถทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นไปได้

กราฟราคาน้ำมันดิบ WTI รายสัปดาห์

อ้างอิงจากกราฟราคาน้ำมันดิบ WTIในตลาดหุ้นนิวยอร์กพบว่าราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลดลง 62 เซนต์ จากราคาเมื่อวันสุดท้ายของปี 2019 อยู่ที่ระดับราคา $61.06 ต่อบาร์เรลคิดเป็นการวิ่ง 1.0% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลงมา 67 เซนต์อยู่ที่ระดับราคา $66.65 ต่อบาร์เรลคิดเป็นการวิ่ง 1.0%

แต่ถ้ามองภาพรวมเป็นรายไตรมาสและรายปีแล้วจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาเยอะอยู่

แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลดลงแต่เฉพาะเดือนธันวาคมปี 2019 เดือนเดียวราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถปรับตัวขึ้นมาได้มากถึง 11% ถือเป็นการปรับตัวขึ้นมามากที่สุดนับตั้งแต่มกราคมปี 2019

กราฟราคาน้ำมันดิบ Brent รายสัปดาห์

เช่นเดียวกันกับน้ำมันดิบ Brent ที่สามารถปรับตัวขึ้นได้ 7% ในเดือนธันวาคมซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นมา 34% ในขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นมา 24% ตลอดทั้งปี 2019 ถือเป็นการปรับตัวขึ้นของน้ำมันดิบมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016

ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมราคาน้ำมันดิบทั้งสองถึงไม่สนใจข่าวดีที่โดนัลด์ ทรัมป์มอบให้ตลาดในช่วงก่อนคริสต์มาสอีฟละ? นี่ควรจะเป็นข่าวที่ตลาดน้ำมันดิบรอมาตลอดทั้งปีมิใช่หรือ? ประเทศจีนก็ถือว่าเป็นลูกค้าเบอร์หนึ่งของสหรัฐฯ ที่ซื้อน้ำมันดิบ WTI มาก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มเล่นสงครามขึ้นกำแพงภาษีใส่กันซึ่งกระทบต่อราคาน้ำมันดิบโดยตรง? เมื่อพิจารณาตามนี้แล้วราคาน้ำมันดิบควรจะต้องทะยานขึ้นสิถึงจะถูก?

คำตอบที่ได้สำหรับคำถามเหล่านี้มีทั้ง….ใช่และไม่ใช่

ตลาดมโนความเสียหายของสงครามการค้าเกินจริงไปเยอะอยู่

แม้ว่าการลงนามสัญญาการค้าในขั้นแรกจะเป็นข่าวดีก็จริงอยู่แต่ต้องไม่ลืมว่านี่เป็นสงครามระยะยาว ในความเป็นจริงแล้วราคาน้ำมันดิบสามารถวิ่งขึ้นไปได้ไกลกว่านี้อีกหากเริ่มนับตั้งแต่ที่ทรัมป์เริ่มปล่อยข่าวสร้างข่าวดีเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้าที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว

ตลาดหุ้นในวอลล์สตรีทเมื่อปีที่แล้วโดนปั่นให้วิ่งขึ้นลงตามคำพูดและการกระทำที่ทรัมป์แสดงออกมา นอกจากทรัมป์แล้วเขายังมีทีมงานคุณภาพที่คอยช่วยดูแลให้บทละครเรื่องนี้มีความแนบเนียนและราบรื่นอย่างที่สุดเช่น ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจนาย แลร์รี่ คัดโลว์, ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นายโรเบิร์ต ไลท์ธิเซอร์, รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ นายสตีเวน มนูชิน และรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ นายวิลเบอร์ รอสส์ ทีมงานผู้กำกับรวมถึงตัวนักแสดงต่างช่วยกันทำละครสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีนเรื่องนี้ให้ออกมาน่าติดตามและให้ผู้ชมมโนไปถึงตอนจบอย่างสวยงามที่จะเกิดขึ้นก่อนจะตัดจบภาคแรกอย่างง่ายๆ ซะอย่างงั้นในปลายปี 2019 ที่สุดท้ายแล้วสหรัฐฯ - จีนก็สามารถกลับมาจับมือกันได้อีกครั้ง

ลำพังแล้วราคาน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 4 ก็สามารถปรับขึ้นมาได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วมากถึง 13% ซึ่งถือว่าเป็นการปรับตัวขึ้นมาที่สูงมากในระดับที่รับได้เลยทีเดียวโดยไม่ต้องพึ่งบทละครของโดนัลด์ ทรัมป์และทีมงานคุณภาพของเขาเลยก็ได้

ช้าก่อน....เราไม่ได้หมายความว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าจนกว่าสหรัฐฯ - จีนจะเซ็นสัญญาลงนามกันจริงๆ

ราคาน้ำมันดิบอาจคงตัวเอาไว้ให้อยู่ในแดนบวกได้จากความมั่นใจของนักลงทุนในตลาด

อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบในตลาดยังคงจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อยู่ตราบเท่าที่ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศจีนยังคงดีและปริมาณความต้องการน้ำมันดิบสูงขึ้นเพราะคนส่วนใหญ่เชื่อในสิ่งที่ทรัมป์พูด

อ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติที่เปิดเผยในประเทศจีนตัวเลขผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมของจีนแบบปีต่อปีมีการเติบโตขึ้น 5.4% ซึ่งถือว่าผิดคาดมากๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตัวเลขในเดือนตุลาคมพึ่งจะออกมาลดลง 9.9% ตัวเลขที่ดีขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมแล้วตัวเลขยอดขายปลีกที่ดีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขในเดือนพฤศจิกายนดีขึ้นและส่งผลดีมาจนถึงเดือนธันวาคมด้วยส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะข่าวดีเกี่ยวสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีนที่สามารถตกลงกันได้ในขั้นแรกที่เข้ามาช่วยไว้จริงๆ

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศจีนปีนี้สามารถผลิตน้ำมันออกมาได้มากที่สุดปีหนึ่งของจีนจึงทำให้มีรายงานออกมาจากบลูมเบิร์กว่าภายในเดือนมีนาคมปี 2020 นี้เราอาจจะได้เห็นการผลิตน้ำมันเพิ่มออกมามากเกือบ 900,000 บาร์เรลต่อวันก็ไปได้ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการน้ำมันดิบในตลาดโลกแน่

การบริโภคน้ำมันของจีนไม่ใช่ข่าวดีของราคาน้ำมันดิบเสมอไป

แต่ความต้องการน้ำมันดิบของประเทศจีนอาจกลายเป็นดาบสองคมที่กลับมาทำร้ายราคาน้ำมันดิบเองได้

รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่าโควตาการส่งออกน้ำมันของจีนที่ผลิตได้ในปีนี้อยู่ที่ 53% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขในปี 2019 และที่ตัวเลข 28 ล้านตันจะเป็นตัวเลขการส่งออกน้ำมันที่เกินความจำเป็นของตลาดเอเชียทั้งหมดซึ่งหมายความว่าอาจเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบล้นตลาดในฝั่งเอเชียขึ้นมาได้

ที่ผ่านมากลุ่มองค์กรความร่วมมือของประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่างโอเปก (OPEC) และกลุ่มประเทศพันธมิตรพยายามอย่างมากที่จะควบคุมกระบวนการผลิตน้ำมันของโลก นับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ซาอุดิอาระเบียผู้นำของกลุ่มโอเปกตกลงเป็นพันธมิตรกับรัสเซียเพื่อควบคุมและลดกำลังการผลิตน้ำมันเอาไว้ไม่ให้เกิน 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันและพวกเขามีแผนที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวันนับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020

แม้ว่าจะมีแผนอย่างรัดกุมเกี่ยวกับการควบคุมการผลิตน้ำมัน แต่โอเปกและผองเพื่อนต่างก็ประสบความยากลำบากให้การที่ผลักดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้นไปในปี 2020 เพราะในปีหน้าเมื่อการลงนามร่วมกันระหว่างโอเปกและกลุ่มพันธมิตรหมดผลบังคับใช้ลงราคาน้ำมันดิบในสหรัฐฯ จะได้โอกาสดีดตัวกลับขึ้นมา เทรดเดอร์ที่ลงทุนในตลาดน้ำมันมานานบางคนพูดว่าปีนี้อาจเป็นปีที่สหรัฐฯ ต้องยอมลดกำลังการผลิตน้ำมันไปก่อนแม้ว่าพวกเขาจะมีสถิตในการขุดน้ำมันในปี 2019 ได้ถึงวันละ 12.9 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งมีข่าวรายงานออกมาจริงๆ ว่าสหรัฐฯ มีการลดแท่นขุดเจาะน้ำมันลงมาตั้งแต่สิ้นปี 2018 จาก 885 แท่งขุดเจาะทั่วทั้งประเทศเหลือเพียง 677 แท่งขุดเจาะเท่านั้นคิดเป็นการลดลง 24%

อย่าประมาทการกลับมาของตลาดน้ำมันดิบสหรัฐฯ

“สาเหตุจริงๆ ที่สหรัฐฯ ลดกำลังการขุดเจาะน้ำมันลง 24% เพราะราคาน้ำมันในช่วงกลางปีนั้นไม่คงที่” นายจอห์น คลิวดัฟฟ์ ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนจัดการด้านพลังงานอห่งกรุงนิวยอร์กกล่าว ราคาน้ำมันดิบ WTI วิ่งอยู่ที่ระดับราคาราวๆ $50-$55 ตลาดช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา นายจอห์นยังกล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรที่ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวันอีกว่า

“นี่อาจจะเป็นการวัดใจครั้งสุดท้ายของกลุ่มโอเปกในการพยายามคาดกำลังการผลิตน้ำมันแล้ว”

มีรายงานจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) รายงานว่าในปี 2020 สหรัฐฯ จะสามารถผลิตน้ำมันออกมาได้มากถึง 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ความต้องการน้ำมันในตลาดโลกจริงๆ แล้วอาจน้อยกว่า 900,000 บาร์เรลต่อวัน

ในขณะเดียวกันก็มีรายงานออกมาจาก EIA ว่าตลาดโลกในปีหน้าจะต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันซึ่งนั่นหมายความว่าโลกจะต้องการน้ำมันเพียง 900,000 บาร์เรลต่อวัน แสดงให้เห็นถึงประมาณความต้องการน้ำมันที่่ลดลงจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันหรือองค์กร OPEC เองก็ตาม

“ในปี 2020 ประเทศผู้ผลิตน้ำมันเป็นหลักอย่างสหรัฐฯ บราซิลและแคนาดาอาจจะผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปจนล้นตลาดได้” - รายงานจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแหง่หนึ่งในวอชิงตัน ดี.ซี.

มีรายงานจากหัวหน้าและทีมฝ่ายเศรษฐกิจ IIF แหล่งตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือรายงานว่า “เมื่อเทียบการผลิตน้ำมันในปี 2020 และ 2019 แล้วพบว่าปีนี้การผลิตน้ำมันจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวันและมากกว่าครึ่งจะมาจากทางฝั่งสหรัฐฯ” แม้การเพิ่มขึ้นนี้จะขึ้นเป็นเพียง 2% จากปริมาณน้ำมันในตลาดโลก แต่ 2% นี้ก็มากพอที่จะสร้างผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบได้

ความตึงเครียดในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงทำให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นได้อยู่ดี

แม้ว่าปีนี้ราคาน้ำมันดิบอาจประสบปัญหาจากความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันอาจจะล้นตลาดอยู่บ้างแต่สิ่งที่จะช่วยผลักให้ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ก็คือความตึงเครียดของสงครามที่ตอนนี้ดูเหมือนสหรัฐฯ จะเริ่มเปิดฉากรบกันอิหร่านด้วยการโจมตีทางอากาศ และการชุมนุมของผู้ประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดดยังคงตึงเครียด

“ที่ใดก็ตามที่มีสงคราม น้ำมันย่อมเป็นสิ่งแรกที่คนต้องการ” กล่าวโดยคุณ ฟิล ฟินน์ นักวิเคราะห์ในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าแห่งเมืองชิคาโก

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย