สัปดาห์ที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังไม่สดใสส่งผลให้ธนาคารกลางอาทิธนาคารกลางอินโดนีเซียเลือกที่จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ประเด็นสำคัญสัปดาห์นี้จะอยู่ที่การประชุมเฟดที่ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯแย่ลง จากทั้งภาคการผลิตที่หดตัวและการบริโภคที่ชะลอลง
ควรระวังความผันผวนในตลาดที่อาจเพิ่มสูงขึ้นเพราะตลาดจะเผชิญทั้งการประชุมเฟด และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ รวมทั้งความวุ่นวายของการเมืองยุโรปจาก Brexitแต่เชื่อว่าเงินดอลลาร์จะไม่แข็งค่าไปมากและยังติดแนวต้านที่ 30.30 บาท/ดอลลาร์ เพราะผู้ส่งออกจำนวนมากก็พร้อมเข้ามาขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับดังกล่าว
กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า 29.80-30.30 บาท/ดอลลาร์
มุมมองนโยบายการเงิน
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันพฤหัสฯคาดว่าจะ“ลด”อัตราดอกเบี้ยนโยบาย(Fed Fund Rate) 0.25% สู่ระดับ1.50-1.75% และมองว่าเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม เพื่อพยุงการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ และรับมือแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันพฤหัสฯตลาดคาดว่าจะ“คง”อัตราดอกเบี้ยนโยบาย(Balance Rate) ที่ระดับ-0.10% และมองว่า BOJ จะส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย หรือเพิ่มปริมาณการซื้อสินทรัพย์ อย่าง ETF มากขึ้น หากแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
ฝั่งสหรัฐฯ – สัปดาห์นี้ตลาดจะให้ความสำคัญกับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเริ่มที่วันพุธ ตลาดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาส 3 จะโตเพียง 1.7% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยการบริโภค การลงทุนเอกชนและการส่งออกล้วนชะลอตัวมากขึ้น วันศุกร์ ตลาดคาดว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Non-farm Payrolls) จะเพิ่มขึ้น 8หมื่นราย ลดลงจากที่เพิ่มขึ้น 1.4แสนรายในเดือนก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการหยุดงานประท้วงของพนักงาน GM
ฝั่งยุโรป – ตลาดจะรอความชัดเจนของกำหนดเส้นตาย Brexit ใหม่จากสหภาพยุโรป รวมทั้งการลงมติของสภาอังกฤษเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป ในวันพฤหัสฯ ตลาดประเมินว่าเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาส 3 จะขยายตัว 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ชะลอลงจากที่โต 0.2% ในไตรมาสที่ 2 กดดันโดยภาวะชะลอตัวของการผลิตและการลงทุนเอกชน
ฝั่งเอเชีย – วันพฤหัสฯ ตลาดคาดว่าภาคการผลิตของจีนยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Official Manufacturing PMI) ที่ระดับ 49.7 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50จุด หมายถึงหดตัว) สอดคล้องกับยอดการส่งออกของจีนที่ยังคงหดตัว และภาพเศรษฐกิจคู่ค้า อาทิ ยุโรปและญี่ปุ่นที่ยังคงซบเซา
ฝั่งไทย – วันศุกร์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมมีแนวโน้มจะชะลอตัวสู่ระดับ 0.3% กดดันโดยราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ลดลงราว 26% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน