* ผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2019 ของบริษัทมีกำหนดรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคมหลังปิดตลาด
* รายได้ที่คาดการณ์: 68,820 ล้านเหรียญ
* กำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์: $4.59
นักลงทุนไม่ได้มีความคาดหมายอะไรเป็นพิเศษสำหรับการประกาศ ผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่ 3 ของยักษ์ใหญ่ในวงการอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon.com (NASDAQ:AMZN) ที่จะมีออกมาในวันนี้ เนื่องจากบริษัทเคย ออกมาเตือน ไปก่อนหน้านี้แล้วว่าต้นทุนที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบให้กำไรลดลงได้ในระยะสั้น
นายไบรอัน โอลซาฟสกี ผู้อำนวยการสายการเงินเปิดเผยกับนักวิเคราะห์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า ค่าใช้จ่ายในการให้บริการส่งสินค้าภายในวันเดียวนั้นมีสูงและทำให้ประสิทธิภาพในการดำเนินงานในไตรมาสที่สองลดลงค่อนข้างมาก การจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมงยิ่งทำให้รายได้สำหรับช่วงที่เหลือของปีต้องได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว นักวิเคราะห์จึงคาดว่าบริษัทจะทำกำไรในไตรมาสนี้ได้ลดลงเฉลี่ย 20% เหลือ $4.59 ต่อหุ้น ในขณะที่ยอดขายยังน่าจะเพิ่มมากขึ้นต่อไปได้ในไตรมาสนี้ โดยคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 69,000 ล้านเหรียญ
ช่วงไตรมาสที่สามยังเป็นช่วงที่ Amazon มีการลงทุนในธุรกิจของตนเพื่อเตรียมรับการช็อปปิ้งในช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปี ดังนั้นนักลงทุนจึงควรเตรียมใจไว้ด้วยว่าค่าใช้จ่ายของบริษัทจะสูงกว่าปกติ
สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่แล้ว สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ค่อยดึงดูดใจนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็นความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับลดลงจากไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 7.4% ลงไปเหลือ 4.9% ในไตรมาสที่สอง ส่วนไตรมาสที่สามนั้น หากพิจารณาจากตัวเลขที่ Amazon คาดการณ์เอาไว้โดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ต่ำกว่า 4%
เมื่อวานนี้หุ้นของ Amazon มีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ $1,762.17 ซึ่งถือว่าปรับลดลงจากราคาสูงสุดของปีนี้ประมาณ 13% แต่เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาก็ถือว่าปรับเพิ่มขึ้นมาได้ประมาณ 20% เมื่อพิจารณาเฉพาะหุ้นรายใหญ่ 5 ตัวในกลุ่มเทคโนโลยีอันได้แก่ Facebook, Apple (NASDAQ:AAPL), Amazon, Netflix (NASDAQ:NFLX) และ Google (NASDAQ:GOOGL) แล้ว Amazon ถือว่าเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดในปีนี้เลยทีเดียว
ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ยอดขาย
เราเชื่อว่าแม้ตัวเลขต้นทุนของบริษัทจะยังสูง หรือกำไรจะลดลง แต่หากยอดขายยังมีเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นหุ้นของ Amazon ก็จะยังไม่ถูกเทขายออกไปอย่างแน่นอน แต่หาก Amazon ไม่สามารถทำยอดขายให้เพิ่มมากขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นักลงทุนก็ย่อมเกิดความกลัวขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เราไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นได้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ผู้บริโภคยังมีการใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็ยังอยู่ในช่วงที่เติบโตได้ดี จึงทำให้ Amazon ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ต่อไปได้
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราไม่ลังเลที่จะแนะนำหุ้นตัวนี้เลยก็คือ ความสำเร็จของซีอีโอของบริษัทอย่างนายเจฟฟ์ เบซอสในการสร้างรายได้ของธุรกิจได้จากหลากหลายช่องทาง เขายังเป็นคนที่เปิดกว้างในการทำธุรกิจใหม่ๆ อีกหลายอย่างที่ไม่ใช่แค่เพียงการขายของออนไลน์ซึ่งมีกำไรต่ำเพียงอย่างเดียว
Amazon ยังมีแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ให้บริการกับลูกค้าองค์กรรายใหญ่ๆ จากทั่วโลก บริการทางเว็บของ Amazon ที่รู้จักกันในนามของ AWS เติบโตขึ้นได้ในอัตรา 37% ในไตรมาสที่ 2 ส่วนอีกธุรกิจหนึ่งของ Amazon ก็คือการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้สูง ก็มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวได้ในอัตราตัวเลข 3 หลักเลยทีเดียว จากการสนับสนุนของหน่วยธุรกิจที่ทำกำไรได้ค่อนข้างมากเช่นนี้ ทำให้ Amazon สามารถทำให้ธุรกิจหลายแห่งถึงกับต้องปิดตัวลงได้และยังน่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว
นอกเหนือจากข้อมูลปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแล้ว ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบกับหุ้นของ Amazon ได้อย่างหนึ่งคือ กฎข้อบังคับเพื่อต่อต้านการผูกขาดจากทางรัฐบาลและสภานิติบัญญัติซึ่งมองว่า Amazon อาจเข้าข่ายผู้ผูกขาดธุรกิจ ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เปิดพิจารณาเรื่องการต่อต้านการผูกขาดอย่างกว้างขวางเพื่อวิเคราะห์ว่าบริษัทใช้อำนาจของตนในการป้องกันคู่แข่งไม่ให้เข้ามาแข่งขันหรือไม่
บทสรุป
ถึงแม้ว่าบริษัทยังมีอุปสรรคที่ต้องเผชิญอยู่ แต่เราเชื่อว่าหุ้นของ Amazon จะเป็นหุ้นที่น่าถือครองสำหรับนักลงทุนระยะยาว แม้ว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะไม่ใช่การลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดขาขึ้นกำลังใกล้ถึงจุดสูงสุดเช่นนี้ แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว Amazon ก็ยังถือว่าเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่น่าจะมีความสามารถในการเติบโตได้สูงและน่าลงทุนมากที่สุดตัวหนึ่งเลยทีเดียว