* ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2019 มีกำหนดที่จะประกาศออกมาให้ทราบในวันพุธที่ 16 ตุลาคมนี้หลังปิดตลาด
* รายได้ที่คาดการณ์: 18,230 ล้านเหรียญ
* กำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์: $2.67
ด้วยความที่บริษัท International Business Machines ดำเนินกิจการมายาวนานกว่า 1 ศตวรรษ นางจินนี โรเมตตี ซีอีโอของบริษัทจึงมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัทออกมาแถลงให้ทราบอยู่เสมอ
เธอกำลังพยายามผลักดันเทคโนโลยีระบบคลาวด์แบบไฮบริดขึ้นมาช่วยพลิกสถานการณ์เพื่อทำยอดขายชดเชยให้กับบริษัท หลังจากที่ IBM ได้ลงทุนเข้าซื้อกิจการ ของบริษัท Red Hat ไปเมื่อปีที่แล้วด้วยมูลค่า 34,000 ล้านเหรียญ เธอได้กล่าวว่าข้อตกลงเข้าซื้อบริษัทดังกล่าวจะช่วยให้ธุรกิจซอฟต์แวร์ของ IBM สามารถทำกำไรและเพิ่มความมั่นคงให้กับบริษัทในอนาคตต่อไปได้ เมื่อบริษัทซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ๆ เริ่มลดการใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ลงแล้วหันไปเก็บข้อมูลไว้กับบริการระบบคลาวด์ของคู่แข่งอย่าง Microsoft Corporation และ Amazon.com กันมากขึ้น
นางโรเมตตีให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Bloomberg เมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า “บริษัทนี้มีการปรับโครงสร้างตนเองใหม่หลายครั้ง” เธอยังได้กล่าวด้วยว่า “มันเป็นสิ่งที่หลายๆ บริษัทยังไม่เคยมีมาก่อน ทั้งในแง่ของการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่และใช้เพื่อการแข่งขันกับคู่แข่งในสถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ได้ด้วยเช่นกัน”
กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
แต่เมื่อคุณพิจารณาให้ลึกลงไปอีกจะพบว่า ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นยังอยู่ในช่วงของการดำเนินการ ในช่วงไตรมาสที่สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ยอดขายของ IBM ยังลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สี่ รายได้จากบริการทางไอทีของบริษัทปรับลดลงไป 6.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สองของปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดขายจากหน่วยธุรกิจเมนเฟรมของบริษัทปรับลดลงไปเกือบ 20%
ดังนั้นการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ในวันพรุ่งนี้ นางโรเมตตีจะต้องพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นอย่างชัดเจนว่าบริษัทสามารถที่จะฟื้นตัวและสร้างยอดขายให้เติบโตขึ้นเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างยั่งยืน
กราฟราคาหุ้นของ IBM
หากบริษัทยักษ์ใหญ่สีฟ้ารายนี้ประสบความสำเร็จในการแสดงให้เห็นว่าสามารถทำให้บริษัทพลิกฟื้นขึ้นมาได้จริง หุ้นของ IBM ก็จะยังเป็นหุ้นในกลุ่มบลูชิพซึ่งทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเป็นอันดับต้นๆ ของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ได้ต่อไป
บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้เป็นตำนานในวงการเทคโนโลยีรายนี้ถือเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเมนเฟรมในระบบเก่าๆ หรือระบบฟล็อปปี้ดิสก์ในยุคหลัง เมื่อช่วงปิดตลาดวันจันทร์ที่ผ่านมา หุ้นของบริษัท IBM ซื้อขายกันที่ระดับ $142.04 มีการปรับตัวขึ้นมาในปีนี้ได้ราว 25%
การที่หุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างมากเช่นนี้ นักลงทุนจึงอยากทราบว่าการเข้าซื้อบริษัท Red Hat ของ IBM จะช่วยให้บริษัทสามารถทำยอดขายและมีกำไรเพิ่มขึ้นได้มากเพียงใด บริษัท Jerferies & Co. คาดการณ์เอาไว้ว่าองค์กรธุรกิจราว 85% มีความตั้งใจที่จะนำเอาระบบไฮบริดคลาวด์เข้ามาใช้ กล่าวคือ องค์กรจะใช้บริการระบบคลาวด์แบบสาธารณะ ตัวอย่างเช่น บริการทางเว็บของ Amazon ร่วมกับเครือข่ายระบบคลาวด์ของตนเอง
บทสรุป
ในช่วงระยะสั้นถึงระยะกลาง IBM น่าจะยังได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจนทำให้ยอดขายและกำไรลดลงได้บ้าง แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่คาดหวังจะได้รับผลตอนแทนเป็นกระแสเงินสดนั้น การถือหุ้น IBM ยังคงเป็นทางเลือกที่ดี
แม้ว่าล่าสุดหุ้นของบริษัทจะให้ผลตอบแทนที่อยู่ 4.6% ซึ่งถือว่ามากกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 ที่ 1.85% อยู่เกินสองเท่า และจ่ายเงินปันผลรายปีที่ $6.48 อยู่แล้วก็ตาม บริษัทก็ยังสามารถปรับการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นได้ทุกปีตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อใดที่การเข้าซื้อกิจการของ Red Hat เริ่มให้ผลตอบแทนกลับคืนมา เมื่อนั้น IBM ก็จะยังเติบโตขึ้นต่อไปได้